วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการบริหารเงิน

1. ความสำคัญของการบริหารเงิน

     1.1 เงินมีจำกัด เงินในกระเป๋าของท่านล้วงออกมาก็จะพบว่าเงินค่อนข้างจำกัด หลายท่านอาจจะมีบัตร เครดิต แต่ก็ถูกจำกัดวงเงิน

     1.2 ความต้องการใช้เงินมาก เรามีความต้องการใช้เงินตลอดเวลา ไม่เฉพาะกับธุรกิจ แม้กระทั่งส่วนตัวของท่านก็มีการใช้เงินตลอดเวลา

     1.3 การลงทุนมีหลายประเภท และแต่ละประเภทมีระยะเวลาการให้ผลตอบแทนแตกต่างกัน การลงทุนโดยการซื้อของมาขาย ให้ผลตอบแทนเร็ว ขณะที่การลงทุนปลูกสร้างอาคารให้ผลตอบแทนช้า

     1.4 เงินมีต้นทุน เรามีเงินอยู่ในกระเป๋า 100 บาท ไม่ได้หมายความว่า 100 บาท ใช้ทำอะไรก็ได้ แต่ในแง่ของผู้ประกอบการ เราต้องใช้เงิน 100 บาทอย่างฉลาดที่สุดโดยคำนึงถึงต้นทุนของเงิน ซึ่งต้นทุนของเงินก็มีอยู่ 2 ประภท คือ

       1.4.1 ต้นทุนการเสียโอกาสของการใช้เงินที่เรามีอยู่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สิ่งเหล่านี้สำคัญ เงินก้อนหนึ่ง ถ้าเราเลือกใช้ไปแล้ว อาจไม่ได้ผล ประโยชน์ตอบแทนเลย แต่ถ้าเราเลือกใช้ไปในอีกทางหนึ่งกลับให้ผลตอบแทนมากมาย การเลือกที่จะลงทุนในอีกประเภทหนึ่ง โดยที่ไม่มีการลงทุนในอีกประเภทหนึ่ง ถือว่ามีการเสียโอกาสเกิดขึ้น ท่านผู้ประกอบการจะต้องชั่งน้ำหนักการใช้จ่ายเงินในแต่ละทางเลือกให้ ชัดเจน ในกรณีที่เป็นเงินของเราเอง

       1.4.2 ต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งต้องใช้จ่ายให้แก่สถาบันการเงินของเราเอง

     1.5 ป้องกันปัญหาเงินขาดแคลน การขาดแคลนเงินเนื่องจากสาเหตุต่อไปนี้

       1.5.1 ยอดขายไม่เป็นไปตามที่เราวางเป้าหมายเอาไว้

       1.5.2 ต้นทุนประกอบการ ต้นทุนสินค้า ควบคุมไม่ได้ ต้นทุนสูง ขายไปแล้วมีแต่ขาดทุน

       1.5.3 ขายสินค้าไปแล้วเก็บเงินไม่ได้ แต่ถ้าเราขายเชื่อ ขายให้กับลูกหนี้ที่ยิ่งยาว ยิ่งมีความเสี่ยง เพราะโอกาสที่จะเก็บเงินมาได้นั้น แตกต่างกัน เราจำเป็นต้องวิเคราะห์ความสามารถในการจ่ายเงินของลูกหนี้ด้วย

       1.5.4 การซื้อสินค้ามากจนทำให้เกินสต๊อกมากเกินไป ธุรกิจ โรงพิมพ์เห็นได้ชัดเวลาที่เราจะพิมพ์การ์ด จะสังเกตเห็นเราต้องซื้อการ์ดสำเร็จ ที่เป็นรูป กระดาษมาสต๊อกไว้เสมอ เพราะเราต้องการให้ลูกค้าเข้ามาเห็นการ์ดของจริง ไม่ได้มองว่าให้ลูกค้ามาดูแคตตาล็อก แล้วเราไปซื้อมาพิมพ์ให้ลูกค้า เพราะฉะนั้น เราก็จำเป็นต้องเดาสุ่มว่าสินค้าตัวไหน กระดาษตัวไหน สวยพอที่ลูกค้าจะสั่งพิมพ์ แล้วถ้าเกิดปัญหา บางอย่างซื้อมาเป็นปี ๆ หนึ่ง พิมพ์ไม่กี่ครั้งแค่นั้นเอง การมีสินค้าสต๊อกมากเกินไปเกิดจากอะไร เกิดจากเราไม่รู้ว่าจะขายอย่างไรให้กับลูกค้าบ้าง เราก็ต้องสต๊อก มีเงินเท่าไหร่ ก็ถมให้กับสต๊อกหมดเลย ยิ่งสต๊อกมากเท่าไหร่ เงินก็ยิ่งขาดมากเท่านั้น

       1.5.5 การใช้เงินผิดประเภท ใช้เงินลงทุนไปในโครงการที่เราคิดว่าจะได้เงินกลับเข้ามาเร็ว แต่ในทางปฎิบัติหรือความเป็นจริงลงทุนไปแล้ว มันไม่กลับเข้ามา หรือได้เงินกลับมาช้า




Nanosoft Marketing Tips


2. แนวทางการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

   การบริหารเงินอย่างมีประสิทธภาพ ต้องรู้ 3 ข้อ

   2.1 ต้องมีการวางแผน แล้วพยากรณ์การใช้เงินก่อน ในรอบปี หรือรอบไตรมาส อีก 3 เดือน เราจะต้องมีค่าใช้จ่ายเงิน อย่างไรบ้าง แล้วเราจะมีการได้เงินมาอย่างไรบ้าง ก็คือจะขายได้เท่าไหร่ หรือจัดการในสต๊อกคงค้าง หรือลูกหนี้คงค้างอย่างไร เพราะฉะนั้นการพยากรณ์การใช้เงิน จำเป็นมาก ๆ เลย ที่จำเป็นต้องพยากรณ์อย่างมีประสิทธิภาพ คือต้องพยากรณ์สมเหตุสมผลควบคู่ไปกับการทำงบประมาณ

   2.2 ต้องมีการจัดหาเงิน เงินมีอยู่ 2 แหล่งเท่านั้นเองในโลกนี้ คือเงินกู้ จากสถาบันการเงินอะไรต่าง ๆ กับเงินของตัวเราเอง หรือเงินของเพื่อน ในแง่ของการร่วมลงทุน เมื่อเรามีการวางแผนแล้ว เราต้องมีการนำเสนอแผนงานการลงทุนการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะอย่างนั้นแล้ว คนที่จะมาเป็นแหล่งเงินของเรา เขาไม่มาหรอก ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือแม้กระทั่งหุ้นส่วนของเรา

   2.3 ต้องมีการใช้เงินได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ ตามแผนงานที่วางไว้แล้ว ผู้ประกอบการหลายท่าน วางแผนไว้แล้ว แต่เวลาการใช้เงินไม่เป็นไปตามแผนการ ใช้ตามใจเช่นวันดีคืนดีเห็นรถออกใหม่ อยากได้ท่านก็จะเอาเงินของกิจการไปซื้อ เหล่านี้ไม่ถูกต้อง การใช้เงินแบบผิดวัตถุประสงค์ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรมากมายประเมินค่าไม่ได้มานักต่อนักแล้ว เพราะฉะนั้นการใช้เงินให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ตัวนี้สำคัญมากกว่าการ พยากรณ์ และการจัดหาเงินทุนเสียอีก

3. เทคนิคการบริหารเงิน

   3.1 ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้จ่ายเป็นแบบผันแปร
   การบริหารกิจการของท่านควรพิจารณาการบริหารงานให้มีโครงสร้างต้นทุนหรือ ค่าใช้จ่ายเป็นโครงสร้างผันแปรมากกว่าโครงสร้างคงที่ ค่าเช่าก็ดี ค่าจ้างพนักงานแบบคงที่ ก็คือพนักงานขายของท่านจ้างมาเดือนละ 1 หมื่น แต่เขาขายของไม่ได้สักชิ้นก็ต้องจ่าย 1 หมื่นอันนี้เรียกว่าคงที่ การหมุนมาเป็นค่าใช้จ่ายแบบผันแปร ก็คือท่านต้องจ่ายเขาแค่ 5 พันบาท เดิมจ่ายให้กิน 3 มื้อสบาย ๆ ได้เที่ยวด้วย เหลือแค่สักมื้ออีกสองมื้อต้องทำงานแลกกัน เพราะฉะนั้นยิ่งขายมากก็ได้มาก ยิ่งขายน้อยก็ได้น้อย เพราะฉะนั้นเขาก็เปลี่ยนจากลูกจ้างมาเป็นหุ้นส่วนของท่านโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้องให้หุ้น ไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรแต่อย่างใดเลย การบริหารให้มีต้นทุนแบบผันแปรก็เหมือนกับ ได้พนักงานเป็นหุ้นส่วนแล้ว ข้อสำคัญก็คือวางแผนตอบแทนเขา วางอย่างยุติธรรม ข้อประการสำคัญของผู้ประกอบกิจการหรือเถ้าแก่บางคน พอผันแปรไปแล้ว ธุรกิจมันเด้ง มากไปหน่อย ชักเสียดาย ชักติดเบรกแล้ว อย่าไปทำลาย โครงสร้างแบบนี้สำคัญ เขาคือพาร์ทเนอร์ของท่านโดยที่ไม่ต้องเสียหุ้นเลยแม้แต่หุ้นเดียว ให้ท่านบริหารแบบโครงสร้าง ผันแปร มากกว่าโครงสร้างคงที่

   3.2 ควบคุมงบประมาณ
   มีการวางแผนและควบคุมประเมิน วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้แผนการเงินไม่บรรลุและสร้างความรับผิดชอบร่วมกันของพนักงาน

   3.3 ลดการสูญเสียและความเสียหายของสินค้าโดยการควบคุมประสิทธิภาพการผลิด

   3.4 อย่าลงทุนผิดประเภท เพราะว่าการลงทุนผิดประเภทไม่การันตีถึงความสำเร็จเลย ถ้าเป็นไปได้ลดการลงทุนสินทรัพย์ลง เช่น รถปิคอัพ 1 คัน ใช้ไม่เคยเต็มที่เลย ขายทิ้งไปแล้วใช้รถร่วมกับชาวบ้าน จ่ายแพงนิดหนึ่งแต่ให้อยู่ในรูปของต้นทุนผันแปรดีกว่า 
       


  ที่มา : http://www.nanosoft.co.th/maktip33.htm 

แบ่งเวลาระหว่าง งาน-ครอบครัว

60MMthailand
แบ่งเวลาระหว่าง งาน-ครอบครัว
คนเราไม่สามารถกระทำทุกสิ่งให้สำเร็จได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นคุณต้องเริ่มบริหารเวลาใหม่และจัดสรรสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับก่อนหลัง
บทความเรื่องนี้คัดสรรมาเพื่อผู้ที่ชอบพูดติดปากว่าฉันยุ่งจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัวหรือแม้แต่กับตัวเอง !!

เป็น เรื่องปฏิเสธไม่ได้ว่า งาน ครอบครัว และเวลาส่วนตัว สามส่วนนี้รวมอยู่ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงที่มนุษย์ทุกคนมีเทียบเท่ากันหมด แตกต่างกันตรงที่ว่าใครจะสามารถจัดสรรสัดส่วนให้ลงตัวได้มากกว่ากัน ความหมายของการจัดสรรลงตัวต้องตอบโจทย์ความต้องการของทั้งสามส่วนได้ตามเป้า ด้วย
สาเหตุหลักของปัญหาครอบครัว ปัญหาชีวิตก็มาจากเรื่องนี้ ตราบใดที่คนยังต้องการเงิน ความรัก และสนองตอบความต้องการของตัวเอง ไปพร้อมๆ กัน แถมต้องแข่งขันกับคนอื่นอีกยิ่งทำให้ความสมดุลของชีวิตถูกกระทบจนเสียศูนย์ ความสำเร็จของชีวิตไม่ได้วัดกันที่ใครมีเงินมากกว่ากัน หรือความสำเร็จก้าวหน้าในหน้าที่การงานเกินหน้าคนอื่น ในทางกลับกันก็ไม่ใช่รักครอบครัวจนทิ้งงาน ทุกสิ่งควรจะเดินไปพร้อมๆ กัน อย่างสมดุล ไม่ใช่ทุ่มกับบางอย่างจนสุดโต่งในขณะที่อีกด้านหนึ่งกำลังขมวดปมปัญหาแน่น ขึ้นทุกวัน
พูดง่ายๆ คือต่อไปนี้ไม่ว่าคุณจะทำอะไรต้องมีแผนทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว จัดเป็นตารางเวลาซึ่งจะทำให้ชีวิตมีระบบมากขึ้น แล้วก็ไม่ใช่เอา 24 ชั่วโมงหาร 3 เพราะเป็นไปไม่ได้ ความสมดุลของชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ไปกับสิ่งนั้น แต่อยู่ที่คุณภาพ สาระและคุณค่าที่เราได้ทำสิ่งนั้นๆ ต่างหาก ตัวเอย่างเช่น บางคนกลับบ้านค่ำเพราะมีงานมาก แต่ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวยังสนิทแนบแน่น นั่นเป็นเพราะเขามีวิธีใส่ใจ รู้จักใช้โอกาสและเวลาให้เป็นประโยชน์
จงให้คุณค่ากับสิ่งสำคัญในชีวิต
เป็น ปกติของคนที่ยุ่งมากที่มักจะลืมให้ความสำคัญกับสิ่งมีค่าในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพตัวเอง หรือความรู้สึกของคนในครอบครัว กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเสียแล้ว เข้าทำนองวัวหายล้อมคอก ลองใช้วิธีตั้งคำถามตัวเองว่า ถ้าคุณมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 1 ปี จากนี้คุณต้องการจะทำอะไร? แล้วพิจารณาคำตอบว่าสิ่งที่คุณกำลังปฏิบัติแตกต่างจากสิ่งที่คุณต้องการ อย่างไร ถ้าตอบตัวเองว่าต้องการใช้เวลากับครอบครัวของคุณเป็นอันดับแรก แล้วคุณได้จัดเวลาเพื่ออยู่กับครอบครัวหรือยัง?
วางแนวทางชีวิตและอนาคต
เมื่อ รู้ความต้องการแท้จริงของตัวเองแล้ว ก็มองหาแนวทางที่จะทำให้สิ่งนั้นบรรลุผล อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไร เช่น อยากไปเที่ยวด้วยกัน ก็รีบจองห้องพักเสียเลยอย่ารีรอ
จัดเวลาให้เหมาะสม
การทำตารางเวลา เท่ากับเป็นการวางแผนและจัดระบบตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ซึ่งจะทำให้คุณทราบถึงเวลาเริ่มต้น และสิ้นสุดของภาระกิจแต่ละอย่าง ต้องเคร่งครัดและมีสมาธิกับการทำงานที่รับผิดชอบจึงจะได้งานดีมีคุณภาพ สำเร็จตรงเวลา
ที่ทำงาน
- ใช้หลักการให้ความสำคัญและการจัดตารางเวลาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ ลองมองว่าอะไรเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดที่หัวหน้างานต้องการ
- หากสิ่งที่ทำอยู่เป็นงานนอกเหนือจากงานที่รับผิดชอบ ควรบอกให้หัวหน้างานรับทราบว่ามีธุระ และจะกลับมาทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จในเวลาอื่นแทน
- ชี้แจงว่าตัวเองกำลังรับผิดชอบงานบางอย่างอยู่ ให้หัวหน้าบอกว่างานส่วนใดต้องการด่วนที่สุด
- บอกหัวหน้าถึงเวลาที่สะดวก และขอความเห็นว่า คิดอย่างไรกับเวลาดังกล่าว
ที่บ้าน
- บอกตารางงานและกิจกรรมต่อกันและกันภายในครอบครัวเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้ง
- สังสรรค์กันในครอบครัวอย่าให้ขาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- ฝึกให้สมาชิกในครอบครัวดูแลและช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุดในทุกเรื่อง
- ว่าจ้างพี่เลี้ยง แม่บ้านสักคนจะทำให้คุณมีเวลาเหลือในแต่ละวันมากขึ้น

สิ่ง ที่คุณต้องปรับตัวเพื่อปฏิบัติการตามแผนใหม่ให้สำเร็จ ต้องความตั้งใจจริง บอกตัวเองว่า จะต้องทำให้ได้ ลืมคำว่า เอาไว้ก่อน ให้สนิท
ปัจจัยหลักในการสร้างความสมดุลให้ชีวิต
1. รักษาสุขภาพให้สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมนำมาซึ่งพลังงานในการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ที่ชัดเจนเฉียบคม
- สุขภาพกายดูแลได้ไม่ยาก ด้วยเรื่องอาหารการกิน พักผ่อนให้พอ และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- สุขภาพใจยากกว่า จิตใจที่สมบูรณ์ทำให้เกิดความกระปรี้กระเปร่า มีพลัง มองเหตุการณ์ร้ายเป็นเรื่องขบขัน เข้าถึงความสวยงามของสิ่งต่างๆ มองอุปสรรคเป็นประสบการณ์ชีวิต
2. ทำกิจกรรมที่มีความหมายต่อตนเองหรือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อาชีพที่ทำอยู่ เป็นอาสาสมัคร หรือแม้แต่การทำงานบ้าน เมื่อทำมากเกินไป ก็จะเกิดความไม่สมดุล ลองใช้วิธีประเมินสิ่งที่คุณหวังจากการทำงานเพื่อจัดการกับเวลาของคุณและ สร้างเป้าหมายในชีวิต แน่นอนเพื่อหาเลี้ยงชีพ เพื่อให้มีปัจจัยในการซื้อหาสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต และแสดงสถานภาพทางสังคม ลองถามตัวเองดูว่าคุณทำงานเพื่ออะไร? และได้อะไรจากการทำงานนี้? ถ้ารู้สึกจำเจ ลองเรียนรู้วิทยาการใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงการทำงาน เช่น เข้าอบรมระยะสั้น หรืออาสาสมัครพัฒนาโครงการใหม่เพื่อความก้าวหน้าขององค์กร การทำเช่นนี้ทำให้มีคุณค่าทั้งต่อตนเอง องค์กร และครอบครัว
ข้อคิดในการจัดการกับงาน
ทำงานที่ยาก เช่น แก้ปัญหาในเวลาที่คุณรู้สึกมีความพร้อมสูงสุดในแต่ละวัน
แบ่งงานใหญ่ให้เป็นชิ้นงานย่อย แล้วกำหนดเวลาเสร็จให้กับทุกชิ้นงาน
ศึกษาวิธีบริหารเวลาจากคู่มือ หรือจากบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
3. เสริมสร้างความสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างคนในครอบครัว เพื่อน และผู้ร่วมงาน ความสัมพันธ์ของคนนั้นแต่ละฝ่ายมักจะต้องอดทนกับการแสดงออกของกันและกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทำเพื่อรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้คือระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่คุณประทับใจหรือสิ่งที่คุณชอบในตัวเขาหรือเธอ จะพบว่ายังมีสิ่งดีมากมายที่ควรค่าแก่การรักษาไว้ ลองเปลี่ยนแปลงท่าทีที่เริ่มจะขัดเคืองนั้นเสียใหม่ โอนอ่อนให้กันมากขึ้น อาจนัดทานอาหารร่วมกัน เขียนข้อความสั้นๆ สื่อสารกันด้วยสำนวนที่ให้ความรู้สึกดีๆ เป็นต้น

ควรหาเวลาพูดคุย และเล่นกับลูกๆ เป็นประจำวันทุกวัน ใส่ใจถามไถ่ว่าวันนี้พวกเขาเจอะเจออะไรมาบ้าง เล่าเรื่องที่ตัวคุณเองประสบมาให้ลูกๆ ฟังแลกเปลี่ยนกัน สร้างความรู้สึกว่า เรามีกันและกันให้หยั่งรากลึกในหัวใจลูกๆ และทุกคนในครอบครัว
หาเวลาพบปะญาติ เพื่อนฝูง หรืออย่างน้อยก็โทรศัพท์พูดคุยทักทายกันเสมอๆ อย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง
หา เวลาสนุกสนานเสวนากับเพื่อนร่วมงาน เช่นรับประทานอาหารร่วมกัน หรือสังสรรค์วันศุกร์สุดสัปดาห์ เชื่อมสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงานมากขึ้น
4. ความสงบสุขทางจิตใจ แม้ว่าคุณมีเรื่องวุ่นวายใจต้องขบคิดกับปัญหารอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ เงินทอง ความสัมพันธ์กับคน ตลอดจนเรื่องของงาน ความสงบสุขทางจิตใจจะช่วยให้คุณมีสติ พร้อมฝ่าฟันอุปสรรคและความหนักใจให้ผ่านพ้นไปได้ ลองนึกถึงสิ่งที่คุณกังวลเข้าขั้นทำให้นอนไม่หลับว่ามันเป็นสิ่งที่คุณ จัดการกับมันได้ด้วยตัวเองหรือไม่
ข้อคิดที่จะช่วยให้คุณจัดการกับความกังวล
ปรับ ปรุงระบบการเงินของคุณ เริ่มต้นจากการออมทรัพย์ ต่อจากนั้นพยายามลดหนี้ โดยเฉพาะควบคุมการรูดบัตรเครดิตของตัวเอง ลองใช้เครดิตการ์ดเพียงครึ่งเดียวจากยอดเงินที่เคยใช้ในครั้งก่อน ลดการเดินช้อปปิ้งลง นี่สำคัญมาก !
หาพี่เลี้ยง หรือแม่บ้านดูแลคนในครอบครัวทั้งเด็กและคนชรา ตลอดจนงานบ้าน
ระวัง ภัยใกล้ตัว ควรสอนเด็กในบ้านให้ระวังตัวจากคนแปลกหน้า ส่งลูกเรียนศิลปะป้องกันตัว ดูแลตรวจตราเรื่องน้ำไฟภายในบ้านทุกครั้งที่ไม่ใช้ ฯลฯ
ศาสนาก็จรรโลงจิตใจให้สุขสงบขึ้นได้ ความเชื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าในการมีชีวิต
ข้อ คิดที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะช่วยให้คุณสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นกับชีวิต และจะทำให้คุณพร้อมที่จะพัฒนาชีวิตของคุณไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ได้ไม่ ยาก เพียงแต่เริ่มต้นลงมือทำเสียแต่วันนี้
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

บันได 6 ขั้นเพื่อก้าวสู่สุดยอดการบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จ article



เขียนโดย ทองพันชั่ง พงษ์วารินทร์ (www.bt-training.com)
Email:tpongvarin@yahoo.com ,Tel.089-8118340

เมื่อวันจันทร์ และวันอังคารที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปบรรยาย หลักสูตร การบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จ (Manage Your Time) ให้ กับ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบริหารเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้น ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อช่วยสร้างสมดุลย์ระหว่างชีวิตครอบครัว และชีวิตการทำงาน จึงอยากนำประสบการณ์บางส่วนมาแลกเปลี่ยน ผมขอถามท่านก่อนว่า
ท่านเคยถามตัวเองอย่างนี้บ้างหรือไม่?
 
ฉันอยากจะมีเวลาซักวันละ 30 ชั่วโมง”
"ฉันอยากมีความสุขกับชีวิตมากกว่านี้”
ฉันมักจะถูกไฟลนก้นอยู่เสมอ”
 “ฉันหาสมดุลของชีวิตการทำงาน และครอบครัวไม่ได้” 
ฉันเครียดเหลือเกินแล้วใช่ไหมเนี้ย?”
 
แล้วฉันจะบริหารชีวิตอย่างไรดีจึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จ?”
เวลา คือสิ่งที่สำคัญ เพราะแล้วหมดไป มีเงินเท่าไรก็ไม่สามารถหาซื้อได้ ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมง เท่ากัน หรือ 1,440 นาที แต่ทำไม? บางคนถึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีครอบครัวที่อบอุ่น และการงานก็เจริญก้าวหน้า ตรงข้ามกับใครอีกหลายคน ที่ต้องทำงานกลับบ้านดึก หอบงานกลับไปทำต่อที่บ้าน เสาร์ อาทิตย์ ก็ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว นี่นะหรือชีวิตของฉัน? หลายคนติดอยู่กับกับดักของความเร่งด่วน เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น มีงานมากจนเกินความสามารถ หรือไม่กล้ามอบหมายงานให้คนอื่นทำ เลยทำเองทั้งหมด ไม่กล้าให้คนอื่นทำงานแทน เพราะกลัวขาดความสำคัญ หรือ จัดลำดับงานไม่ได้ เพราะงานทุกชิ้น ก็ด่วนทุกชิ้น เป็นต้น
การบริหารเวลาถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม เพราะคุณค่าของเวลานั้น ขึ้นอยู่กับคุณค่าของการใช้เวลาของตัวเราเอง เพราะถ้าหากเราใช้เวลาในปัจจุบันได้อย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด นั่นก็จะเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จในอนาคตของเราอย่างแน่นอน ตรงข้าม หากเราปล่อยชีวิตไปวันๆ จุดจบสุดท้ายของชีวิต ก็คือความล้มเหลวโดยไม่ต้องสงสัย
วันนี้จึงอยากให้ทุกท่านลองคิดดูนะครับว่าท่านได้ใช้เวลาไปคุ้มค่า มากน้อยเพียงใด และสิ่งที่ทำไปในแต่ละวันนั้นมีส่วนช่วยทำให้ท่านบรรลุความฝันที่ได้ตั้งใจ เอาไว้หรือไม่? ถ้าใครตอบว่า "ใช่" แล้วละก็ ผมก็ดีใจด้วย แต่ถ้าหากใครตอบว่า "ไม่ใช่" ผมก็ดีใจด้วยเหมือนกัน เพราะว่าอย่างน้อยท่านก็รู้ตัวว่า ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องรีบปรับปรุงตัว แต่ถ้าใครตอบว่า "ไม่รู้ หรือไม่แน่ใจ ว่าใช้เวลาไปคุ้มหรือไม่" แล้วละก็ควรรีบวิเคราะห์ตนเองโดยด่วนเลยละครับ เพราะเวลาทุกนาทีเป็นเงินเป็นทอง ต้องใช้อย่างคุ้มค่า มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งผมแลกเปลี่ยนแนวคิด โดยเรียกว่า บันได 6 ขั้นในการบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จ ดังนี้
 
1. มีเป้าหมายชีวิตชัดเจน โดยเป้าหมายนั้นต้อง วัดได้ เป็นไปได้ ทำได้จริง ไม่เกินกำลังความสามารถของเรา
2. จัดลำดับความสำคัญเร่ง ด่วน อะไรสำคัญ กว่า เร่งด่วนกว่า ก็ลงมือจัดการกับงานนั้นก่อน จากนั้นก็ค่อยๆจัดการกับงานส่วนที่เหลือ สำหรับหลักการที่นิยมมากที่สุดคือ ควรจัดการกับงานที่สำคัญ แต่ไม่เร่งด่วน ซึ่งงานประเภทนี้มักจะเป็นการวางแผนงา การป้องกัน การพัฒนา เป็นต้น
3. ประเมินเวลาที่จะใช้จริงก่อนเริ่มงานใน แต่ละวัน โดยก่อนที่จะเลิกงานในแต่ละวันควรวางแผนการปฏิบัติงาน เพื่อกำหนดกิจกรรมที่จะต้องปฏิบัติ และประเมินเวลาที่ต้องใช้ในแต่ละกิจกรรมนั้น นอกจากนี้ควรเผื่อเวลาเอาไว้อย่างน้อยอีกซัก 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง เผื่องานด่วนเข้ามา
4. ลงมือปฏิบัติตามกิจกรรมในแต่ละช่วงเวลา อย่างเคร่งครัด นั่นหมายถึงว่าท่านต้องมุ่งมั่นต่องานที่ปฏิบัติ โดยใช้เวลาตามที่ได้กำหนดไว้ ถ้าหากใช้เกินเวลาต้องรีบเร่งทำงานนั้นให้เสร็จโดยเร็วที่สุด
5. กำจัดสิ่งรบกวน แน่นอนครับในแต่ละวันจะมีพวกงานด่วน งานเร่ง งานจร การขอคำปรึกษา การประชุมนอกแผนงาน ซึ่งเราไม่ได้วางแผนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ซึ่งเราต้องเรียนรู้ที่จะกำจัดงานประเภทเหล่านี้ออกไปบ้าง อย่าไปรับเอามาเสียทั้งหมด (แต่อย่าทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเราปัดงาน หรือเป็นคนแล้งน้ำใจ ไม่ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น) เพราะงานเหล่านั้นจะรบกวนเวลาที่เราได้กำหนด เอาไว้ ซึ่งงานเหล่านั้นอาจกระทบต่อแผนการใช้เวลาที่เรากำหนดเอาไว้
6.  ทบทวนการใช้เวลา และเรียนรู้จากการใช้เวลาที่ผิดพลาด หลังจากใช้เวลาไปจนหมดวัน ก็มาทบทวนดูซิว่า เราใช้เวลาไปกับงานที่ช่วยสนับสนุนทำให้ชีวิตของเราเจริญก้าวหน้า งานที่ไม่เกี่ยวกับงานของเรา หรือใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไม่ควรทำไปมากน้อยเพียงใด จากนั้นก็พิจารณาเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน
               
                นี่ก็คือบันได 6 ขั้น เพื่อก้าวสู่สุดยอดการบริหารเวลาเพื่อความสำเร็จครับ สุดท้าย จากการวิเคราะห์ผู้ที่มีความสามารถในการบริหารเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมนั้นมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือ "ความมีวินัยในตนเอง" เพราะ ความมีวินัยนี่แหละครับ คือปัจจัย ที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของความสำเร็จในทุกๆสิ่งที่เราต้องการ ขอให้โชคดี และสนุกสนาน กับการบริหารเวลากันทุกคนนะครับ.............
 
ที่มา :http://www.peoplevalue.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539115659&Ntype=2

เทคนิคบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ



         บ่อยครั้งรู้สึกมีเวลาไม่พอทำงานเสร็จไม่ทันเวลาบ่อยๆต้องทำงานรีบเร่งแข่ง กับเวลาอยู่เป็นประจำหรือรู้สึกว่างานมาก จนไม่มีเวลาสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจไม่มีเวลาให้กับครอบครัวล้วนเป็นสาเหตุ ให้เกิดความเครียดนั้น จำเป็นอย่างมากที่จะต้องหาวิธีบริหารเวลา เพื่อจัดเวลาการทำงานให้มี   ประสิทธิภาพขึ้น และเพื่อจะสามารถทำงานได้เสร็จทันเวลาอย่างที่ไม่ต้องรีบเร่งมากนัก รวมทั้งยังมีเวลาเหลือพอที่จะพักผ่อนหย่อนใจส่วนตัว มีเวลาให้กับเพื่อนฝูงและครอบครัวอีกด้วย

         เห็นทีจะคล้อยตามคำคมของเบนจามิน แฟลงคิน นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก ที่กล่าวเอาไว้ว่า “ เวลาคือเงิน ” ถึงใครจะเถียงว่าเงินซื้อควาสุขไม่ได้ แต่เงินก็เป็นปัจจัยหลักที่เอื้อให้เราอยู่ได้อย่างมี   ความสุขเช่นเดียวกับเวลาถ้าเราใช้ไม่เป็น ก็เหมือนกับทำของมีค่าหล่นหาย บางคนคิดว่าเก็บไว้อย่างดีแล้ว ก็ยังถูกขโมยเวลาไปจนได้ มีบางคนพูดไว้อย่างน่าคิดว่า เวลาคือของขวัญ เพราะเหตุนี้จึงเรียกปัจจุบันว่า “ Present ” ทุกคนรู้ดีว่าเวลามีค่าแค่ไหน แต่ก็ยังเผลอทำหายอยู่บ่อยๆที่ว่า” โอ๊ย ไม่มีเวลาหรอกงานเยอะ จะตาย…ไม่ว่างหรอก ไม่มีเวลา ต้องเคลียร์งานก่อน ” คนส่วนมากมักรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเวลา แม้จริงแล้วเคล็ดลับอยู่ที่การบริหารเวลานั่นเอง ฟังดูเหมือนยาก แต่ถ้ารู้จักบริหารเวลาให้ดีก็สามารถที่จะหาเวลา   เพิ่มได้ เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างและเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจัง คุณจะมีเวลาเพิ่มขึ้น ลองเริ่มด้วย

1.   จดบันทึกการใช้เวลาในแต่ละวัน  การบริหารเวลาควรเริ่มต้นจากการสำรวจตัวเองก่อนว่าในแต่ละวันนั้นได้ใช้เวลา ในการทำกิจกรรมอะไรบ้าง โดยการจดบันทึกเวลาและการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันติดต่อกันประมาณ 3 วัน แล้วลองคำนวณดูว่าได้ใช้เวลาไปกี่      ชั่วโมงกับการนอน การกิน การทำงาน การเดินทาง การออกกำลังกาย การอยู่คนเดียวเงียบๆ การใช้เวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูง และการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ลองพิจารณาดูว่าเวลาที่ใช้ในการทำกิจกรรมเหล่านี้สมดุลแล้วหรือยังได้เสีย เวลาไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมากน้อย    แค่ไหน และบ่อยแค่ไหนที่คิดจะทำอะไรแล้วก็รีรอผัดผ่อนไปทำอย่างอื่นก่อนงานที่ควรจะ เสร็จจึงไม่เสร็จเสียที ควรจะต้องปรับปรุงเวลาในเรื่องใดให้มากขึ้นหรือน้อยลง
2.   วางแผนงานล่วงหน้า  ในแต่ละวัน จะมีเวลาสำหรับการทำงานประมาณ 6-8 ชั่วโมง จึงควรตั้งใจทำงานให้เต็มที่ โดยวางแผนการทำงานล่วงหน้าว่าในวันนั้นจะต้องทำอะไรบ้าง แล้วพรุ่งนี้จะต้องทำอะไรจัดลำดับความสำคัญของงาน เลือกทำงานที่สำคัญและเร่งด่วนก่อน ทำงานที่คิดว่ายากก่อนในช่วงเช้าเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายยังสดชื่น รู้จักแบ่งงานชิ้นใหญ่ให้เป็นชิ้นย่อยๆถ้าเป็นหัวหน้างานควรแบ่งงานให้ลูก น้องหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรับไปทำอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อความยุติธรรม และอย่างหวงงาน อย่าคิดว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ ค่อยๆ สอนและค่อยๆ ฝึก เขาย่อมทำได้ในวันหนึ่งและเราก็จะสบายขึ้นด้วย เมื่อทำงานติดต่อกันประมาณ 2 ชั่วโมงควรพักสมองโดยการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง และควรพยายามทำงานให้เสร็จที่ที่ทำงาน ไม่จำเป็นอย่าเอางานกลับไปทำที่บ้านเพราะจะรบกวนเวลาสำหรับตนเองและครอบครัว
3.   เพิ่มเวลา  ถ้ารู้สึกว่าเวลามีไม่พอ ควรหาเวลามาเพิ่ม เช่น ตื่นให้เช้าขึ้น  หรือย้ายมาพักใกล้ที่ทำงานเพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง เป็นต้น ลองสังเกตผู้ร่วมงานดูบ้างว่าแต่ละคนมีวิธีการบริหารเวลาอย่างไร ลองเรียนรู้จากผู้ที่บริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเครียดน้อย ลงก็ได้
4.   ตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์  ให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ว่าคุณจะทำอะไร เพื่ออะไร ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จ คือการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน จดไว้กันลืม แล้วลงมือทำทันที จำไว้ว่าถ้าจะยิงปืนให้เข้าเป้าก็จำเป็นต้องเล็งให้ดีซะก่อน เมื่อโฟกัสถูกจุดแล้ว ก็ต้องรู้ว่าทำอะไรบ้างจึงจะไปถึง เคล็ดลับการอยู่ที่การมี “แผน” ที่ดีอยู่   กับตัว ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ว่าคุณต้องทำอะไรบ้างตั้งแต่วันนี้ สัปดาห์นี้ จนถึงตลอดทั้งปีนี้ แผนที่ดีคือต้องรู้ปัญหาของงานแต่เนิ่นๆเพื่อที่จะหาทางแก้ได้ทันท่วงที
5.   สร้าง To-Do-List  เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่งเรียงลำดับก่อนหลังของงานที่จะทำเอาไว้ก่อน แล้วเชื่อและบังคับตัวเองให้ทำตามนั้น เป็นการไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง เสียเวลาเที่ยวเล่นไปกับเรื่องหยุมหยิมทั้งหลายแหล่ ว่ากันว่า คนที่ประสบความสำเร็จน่ะเขาโน๊ตไว้ทั้งนั้น ว่าอะไรที่ควรทำก่อนหลัง แต่ถ้ามีเรื่องด่วนแทรกเข้ามา ก็สามารถปรับให้ยืดหยุ่นได้
6.   มีแฟ้มงาน  อย่าปล่อยให้ความคิดกระจัดกระจาย รีบเก็บๆๆๆเข้ามาใส่ในแฟ้มซะ เอกสารก็เหมือนกันถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง ก็จับมันมาเก็บใส่แฟ้มงานเดียวกัน เพื่อไม่ให้ความคิดของคุณเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหน โต๊ะรกๆไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่ามาอ้างว่าโต๊ะรกๆทำให้     ไอเดียคุณบรรเจิด มุกนี้ใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณมีความจำดีเยี่ยมเท่านั้น ว่ากระดาษและสิ่งของที่เกลื่อนอยู่บนโต๊ะน่ะ มีเรื่องอะไร อยู่ตรงไหนบ้าง แต่ถ้าคุณเป็นคนธรรมดาจัดของให้เข้าที่เข้าทางจะดีกว่านะ
7.   ใช้โทรศัพท์ให้เป็น  เสียงกริ๊งทุกสิบห้านาทีติดโผสาเหตุอันดับต้นๆ ที่มารบกวนเวลาทำงานของคุณ อย่าตกเป็นโรคโฟนลิซึ่ม ด้วยการเม้าท์สนุกปากในเวลางาน เพราะนอกจากจะขโมยเวลาไปจากคุณแล้ว มันยังทำให้คุณดูไม่ดีอีกด้วย ธนาคารและโรงแรมใหญ่ๆในต่างประเทศเริ่มขอความร่วมมือให้พนักงานหน้า เคาน์เตอร์งดใช้โทรศัพท์มือถือขณะปฏิบัติงาน เพราะเกรงว่าลูกค้าจะรู้สึกไม่ประทับใจเมื่อเห็นพนักงานรับโทรศัพท์มือถือ อยู่บ่อยๆจนเสียงานและรับรองลูกค้าได้ไม่เต็มที่
8.   ทุกคนมี “ เวลาของตัวเอง ”  สังเกตให้ดีว่าช่วงเวลาใดที่สมองคุณรู้สึกปลอดโปร่ง ไอเดียกระฉูดถ้าคุณถูกชะตากับเวลาเช้าตรู่  ก็รีบเรียงลำดับความคิด ทำ list สิ่งที่จะทำในวันนั้น ก่อนที่เมฆดำจะเลื่อนมาบดบังความคิดเจ๋งๆของคุณ
9.   มีความรับผิดชอบ  บริหารเวลาต้องเริ่มจากการจัดการตัวเองซะก่อน ก็จะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าทำ list ขึ้นมา แล้วทำตามนั้นไม่ได้ จะบอกให้ก็ได้ว่าสาเหตุหลักของความล้มเหลว เกิดจากโรคความรับผิดชอบบกพร่องของคนเรานี่แหละ ไม่มียารักษาแต่หายได้ด้วยวินัยในตัวคุณเอง
         คุณลองใช้เวลาไม่กี่นาทีอ่านเคล็ดบริหารเวลาเหล่านี้  ใช้เวลาอีกนิดหน่อยลองลงมือทำดู  แล้วคุณจะค้นพบเวลาอีกหลายชั่วโมงที่หายไป  ทีนี้ไม่ว่าคุณจะงานยุ่งแค่ไหน  ก็จัดการมันได้ไม่ยากด้วยสองมือของคุณเอง  เวลาเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของคุณ  ที่สามารถนำไปแลกเป็นอะไรก็ได้  ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะจัดการกับมันได้ดีแค่ไหน…
.......................................................................................................................................
ขอขอบคุณที่มาบทความ  : หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์  ฉบับวันที่  4 เมษายน  2548

หัวการค้าแต่เด็กเลยนะเรา

สตรีนางหนึ่งแต่งงานมีลูกแล้ว และเธอก็มีชู้ด้วย 1 คน

ทุกวันพุธเธอจะพาชู้มาที่บ้าน เพื่อทำการ(จึ๊กกระดึ๋ย)

และระหว่างนั้นเธอก็จะให้ ลูกชายอายุ 8 ขวบ ไปอยู่ในตู้เสื้อผ้า



พุธหนึ่งสามีเธอเกิดเลิกงานเร็วผิดปกติและกลับบ้านก่อนเวลา



เธอตกใจมาก รีบพาชายชู้มาหลบในตู้เดียวกะที่ลูกชายเธออยู่

พอตู้เสื้อผ้าปิดลงเด็กน้อยก็พูดขึ้นว่า

' ในนี้มืดจังเลยนะครับ '

' อื้อ นั่นน่ะสินะ ' ชายชู้ตอบ



' ผมมีลูกเบสบอลลูกนึง ขายให้คุณ 50 ดอลล่าเอามั้ยครับ ' เด็กน้อยเสนอ

ชายชู้รีบตอบปฏิเสธทันที ' ไม่เอาเว้ย ขายขูดรีดกันนี่หว่า '

' งั้นผมไปบอกพ่อดีกว่า ว่าคุณอยู่ในนี้

' เออ เอามาก็ได้วะ ' ชายชู้จำยอม



พุธต่อมาก็เกิดเหตุการแบบเดียวกันขึ้นอีก



ชายชู้จึงถูกพาไปหลบในตู้เสื้อผ้าเดิม

' ในนี้มืดจังนะครับ ' เด็กชายพูดขึ้น

' เออ นั่นสินะ ' ชายชู้กัดฟันพูด

' ผมมีไม้เบสบอลจะขายคุณ 50 ดอลล่า เอามั้ยครับ ?'

' เอามาเล้ย '



ครั้นพุธต่อมาผู้เป็นสามีลาพักร้อน เขาชวนลูกชาย



' นี่ลูก พ่อว่าเราไปเล่นเบสบอลกันดีมั้ย ?'

เด็กชายตอบว่า ' ไม่ได้หรอกพ่อ ผมขายไม้กะลูกบอลไปแล้วในราคา 100 ดอลล่า

ผู้เป็นพ่อโกรธมาก ' แกนี่ทำแบบนี้ได้ยังไง แกไปหลอกขายใคร

มันบาปรู้มั้ยและพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ยอมรับลูกขึ้นสวรรค์ มานี่พ่อจะพาไปโบสถ์





ที่โบสถ์......

ผู้เป็นพ่อพาเด็กชายมาที่ห้องสารภาพบาปซึ่งเป็นห้องที่เล็กๆ และค่อนข้างมืด

' เอ้า เข้าไป แล้วบอกหลวงพ่อไปซะ ว่าแกทำบาปอะไรมา '



เด็กน้อยเข้าไปในห้องนั้นและประตูก็ปิดลง ทิ้งให้เด็กชายอยู่ในความมืด

เด็กน้อยรู้สึกกลัวจึงรำพึงออกมา ' ในนี้มืดจังเลย... '



ทันใดนั้นบาทหลวงก็ตอบกลับมาว่า

' มึงจะเอาอะไรมาขายกูอีก ?'



ที่มา Forward mail


ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=jokestory&month=02-10-2010&group=1&gblog=3

คิดแบบนี้...ถึงรวย


คิดแบบนี้...ถึงรวย
คุณเคยสงสัยมั้ยว่า เราก็สู้อุตส่าห์อดออม ขยันทำงานตัวเป็นเกลียว ประหยัดเอวคอดเอวกิ่ว ไม่เคยข้องแวะกับความฟุ่มเฟือย พอมีเงินก็เอาไปต่อยอดให้มันออกดอกออกผล เรียกว่า ทำทุกอย่างตามสูตรของการเป็นเศรษฐี ปฏิบัติทุกอย่างตามคัมภีร์แห่งความมั่งคั่ง แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของสรรพนามคำว่าเศรษฐีอยู่ดี
ถ้าอย่างนั้น จะพาไปแกะรอยไปดูว่าบรรดาเศรษฐีตัวจริง เขาคิดและมองกันอย่างไร ถึงได้มั่งคั่งอย่างยั่งยืนบนกองเงินกองทอง
ที.ฮาร์ฟ เอเคอร์ เจ้าของงานเขียน "เคล็ดลับทำใจให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน: การคุมเกมสร้างความมั่งคั่ง" เชื่อว่า คนรวยคิดแตกต่างเกี่ยวกับเงิน และแต่ละคนมีแผนการเงินเฉพาะตัว ซึ่งคิดกำหนดขึ้นมาตลอดช่วงชีวิตในการลงทุนเกี่ยวข้องกับเงิน
ลองตามมาดูวิธีคิดและมุมมองแบบคนรวย ว่าเขาคิดกันอย่างไร
O คนรวยเชื่อว่าฉันสร้างชีวิตด้วยตัวเอง
พูดให้เข้าใจง่ายคือ คนที่จะรวยได้ต้องเริ่มคิดสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง ไม่คิดพึ่งพิงคนอื่น สังเกตว่าพวกที่ไม่ได้เป็นเศรษฐี มักคิดแค่ว่า เราช่างโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาบนกองเงินกองทองที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ ไม่ต้องทำอะไรก็มีมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่เอาไว้ให้ใช้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำอะไร ก็อยู่ได้ไปชั่วชีวิต
จะเห็นได้ว่าเศรษฐีในบ้านเราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น"เจริญ สิริวัฒนภักดี" หรือ "เฉลียว อยู่วิทยา" ก็ล้วนแต่สร้างและสั่งสมความร่ำรวยมาด้วยตัวเองแทบทั้งสิ้น กว่าจะนอนเกลือกกลิ้งบนกองเงินกองทองเศรษฐีพวกนี้เริ่มต้นจากศูนย์และสองมือ เปล่า และเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวไม่รวย
กรณีของเฉลียว เขาไม่ได้เกิดมาในชาติตระกูลของผู้มีอันจะกิน แต่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวยากจน ทำให้เขาต้องช่วยที่บ้านทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนจะมาขายกระทิงแดงอย่างทุกวันนี้ เขาทั้งขายผลไม้ ขายยา และทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง
Oมีหัวการค้าตั้งแต่เด็ก
กว่าจะมาเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทย เป็นเจ้าของเหล้าแม่โขง และเหล้าแสงโสม เบียร์ช้าง เศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทยอย่างเจริญ เป็นคนที่มีหัวการค้าตั้งแต่เล็ก และเขาเชื่อเสมอว่า คนจะรวยได้ต้องทำการค้าเท่านั้น นั่นทำให้เขามุ่งมั่นกับการทำการค้ามาตั้งแต่เด็ก
ถึงแม้"บิล เกตส์"เจ้าของบริษัท ไมโครซอฟท์จะไม่ได้โตมาจากครอบครัวยากจน เพราะพ่อของเขาเป็นทนายและแม่เป็นอาจารย์ แต่เขาก็มีหัวการค้ามาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ช่วงที่เรียนอยู่เขากับเพื่อนสนิทคิดหาช่องทางหาเงิน โดยรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำเงินให้เขาไม่ใช่น้อยเลยสำหรับเด็กในวัย 10 กว่าปี
หรือแม้กระทั่ง "วอร์เรน บัฟเฟตต์" เป็นคนที่ขยันหาเงินมาตั้งแต่เด็ก กว่าจะมาร่ำรวยระดับโลกแบบนี้ได้ บัฟเฟตต์ก็เคยเป็นคนที่รู้จักทำมาหากินมาตั้งแต่เด็ก เขาก็เคยหารายได้จากการขายของตามบ้านและเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์มาก่อน
O คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อชนะเท่านั้น
คนจนมักคิดแค่ว่าเล่นเกมการเงินหรือลงทุนก็ตามเพื่อไม่ให้แพ้ ตรงกันข้ามกับพวกคนรวยที่เมื่อเล่นเกมการเงินหรือลงทุน พวกเขามุ่งมั่นว่าต้องชนะเท่านั้น บิล เกตส์เป็นตัวอย่างของคนประเภทนี้ได้ดีที่สุด วิธีคิดของเขาคือ จะทำอะไรต้องชนะเท่านั้น นั่นเพราะในครอบครัวของเขาสอนให้มีนิสัยรักการแข่งขันมาตั้งแต่เด็ก
O คนรวยคิดการใหญ่ไม่มองเล็ก
ธรรมชาติของคนรวยมักจะคิดการใหญ่ แต่ถ้าเป็นคนจนจะคิดการเล็ก คนรวยไม่ได้คิดแค่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆข้างทาง แต่พวกเขาคิดเลยเถิดไปถึงร้านอาหารใหญ่ๆที่อาจจะขายแฟรนไชส์ได้ในอนาคต หรืออาจจะโกอินเตอร์ไปเปิดในต่างประเทศ
ดูอย่างบิล เกตส์เป็นกรณีศึกษา ก็จะพบว่า เขาเป็นคนที่คิดการใหญ่มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น สมัยที่คอมพิวเตอร์ยังไม่ใช่ของใช้ประจำบ้าน คนมีวิสัยทัศน์อย่างบิล เกตส์กลับมองออกว่า คอมพิวเตอร์จะกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน เมื่ออ่านเกมขาด เขาจึงตัดสินใจที่จะทุ่มเทเข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวพันกับคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างที่หลายคนไม่คาดคิด
O คนรวยมองหาโอกาสไม่สนใจอุปสรรค
คนจนมัวแต่โฟกัสไปที่อุปสรรคและจมดิ่งอยู่กับปัญหา แต่คนรวยแม้จะถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรคและปัญหา แต่พวกเขาจะมักจะมองหาโอกาสโดยไม่สนใจกับอุปสรรค พูดให้ชัดขึ้นคือ คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก แต่คนจนมักจะมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งกว่านั้นคือคนรวยมักจะเป็นพวกตื่นตัวและความกลัวหยุดพวกเขาไม่ได้
O คนรวยชื่นชมผู้ประสบความสำเร็จ
ลองสังเกตดูให้ดีจะพบว่า คนรวยมักจะชื่นชมคนรวยและยินดีกับผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่คนจนเวลาเห็นคนรวยกว่าหรือเห็นคนอื่นได้ดีกว่ามักไม่ค่อยพอใจ
เมื่อบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน อย่างบิล เกตส์ กับบัฟเฟตต์พบกันเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เขาต่างชื่นชมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้พูดคุยกับบัฟเฟตต์เพียงไม่กี่ชั่วโมง บิล เกตส์กลายเป็นคนที่ศรัทธาในตัวบัฟเฟตต์อย่างมาก ฝ่ายบัฟเฟตต์เองก็นับถืออย่างบิล เกตส์เช่นกัน
O คนรวยสมาคมกับคนประสบความสำเร็จ&คิดบวก
โดยมากพวกคนรวยจะคบค้าสมาคมกับคนที่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่คิดบวก เพราะบางทีในอนาคตอาจจะคิดหาทางเพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันในอนาคต ฝ่ายคนจนมักจะสมาคมกับคนคิดลบและคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เช่น กรณีของเจริญ เขาเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์อย่างดีกับผู้คนในแวดวงการค้า การลงทุนในธุรกิจต่างๆ รวมไปถึง ข้าราชการ ไปจนถึงแวดวงนักการเมือง
O คนรวยเลือกทำเงินโดยไม่รอเวลา
อาจจะเป็นเพราะคนรวยมักจะคิดแล้วทำเลย ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รอเวลา เมื่อจังหวะมีโอกาสมา พวกเขาก็จะลงมือทำงานทำเงินทันที ตรงกันข้ามกับคนจนที่มักจะรอเวลา และผัดวันประกันพรุ่งกับทุกเรื่อง ตัวอย่างของเจริญค่อนข้างชัดเจน เขาเป็นคนที่มีความคิดแตกฉานในเรื่องการทำธุรกิจ เมื่อจะลงมือทำอะไรเขาจะคิดก่อน เมื่อคิดอย่างถ่องแท้แล้ว เขาก็จะลงมือทำ เรียกว่าเป็นคนที่ตัดสินใจเร็ว ในการทำธุรกิจ
O คนรวยคิดแบบควบคู่ไม่ใช่แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ตัวอย่างของคนรวยหลายคน มักจะมีระบบคิดที่ไม่ใช่คิดแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่พวกเขาจะคิดควบคู่หลายเรื่องในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าเป็นคนจนมักจะคิดวนอยู่เรื่องเดียว
ถ้ามองในแง่ของการทำธุรกิจ ก็จะเห็นได้ว่า เศรษฐีหลายคน อาจจะเริ่มต้นจากธุรกิจแขนงใดแขนงหนึ่ง แต่เมื่อเริ่มตั้งตัวได้ พวกเขาก็จะแตกไลน์ทำธุรกิจหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน
เช่นกรณีของเฉลียว ที่เมื่อพูดถึงชื่อเขา แน่นอนทุกคนคงนึกถึงกระทิงแดง แต่ทุกวันนี้เฉลียวไม่ได้ขายกระทิงแดงอย่างเดียว แต่แตกไลน์ขยายธุรกิจออกไปอย่างกว้างไกล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจยา เครื่องดื่ม อาหาร สนามกอล์ฟ ธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
O คนรวยเน้นหาความมั่งคั่งอื่นไม่ใช่แค่รายได้ประจำ
ข้อนี้อาจจะต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว อย่างที่บอกว่าคนรวยไม่ได้หวังแค่รายได้จากเงินเดือนประจำ แต่พวกเขาจะมองหาอย่างอื่นที่มาเติมความมั่งคั่งให้ตัวเองด้วย แต่คนจนหวังแค่รายได้ประจำ
O คนรวยบริหารเงินได้ดี-ใช้เงินเป็น
คนรวยมักจะบริหารเงินได้ดี แต่คนจนมักจะบริหารจัดการได้ไม่ดีเท่าไหร่ อย่างเจริญ เขาไม่ใช่คนที่ประหยัดเงินท่าเดียว แต่เขาเป็นคนที่ใช้เงินเป็น และมีระบบการบริหารเงินในบริษัทได้ดี
คำว่าบริหารเงินได้ดี อาจหมายรวมไปถึงการบริหารพอร์ตการลงทุนด้วย เช่นกรณีพอร์ตการลงทุนของบัฟเฟตต์เขาก็บริหารด้วยการกระจายไปในหุ้น หลายกลุ่มหลายตัวที่เขาคิดและมองเห็นแล้วว่าพื้นฐานกิจการดี และสามารถมองเห็นที่มาที่ไปของการสร้างรายได้
ส่วนการใช้เงินเป็นนั้น แม้เศรษฐีพวกนี้จะอยู่ในภาวะร่ำรวยล้นฟ้ากันแล้ว แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า พวกเขาหามาได้และใช้อย่างพอดี ไม่ได้ฟุ่มเฟือยกับกองเงินกองทองตรงหน้า แถมเศรษฐีแต่ละคน เมื่อรวยมาถึงระดับหนึ่งก็มักจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้ ด้วยการบริจาคเงินช่วยเหลือให้กับสังคมในรูปแบบต่างๆ
O คนรวยมีเงินช่วยทำงานไม่ใช่ทำงานหนักเพื่อเก็บเงิน
คนจนเอาแต่คร่ำเคร่งกับการทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเก็บ แต่คนรวยไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อทำงานหนักได้เงินมา พวกเขาใช้ให้เงินทำงานแทนพวกเขา บัฟเฟตต์เองก็เช่นกัน จริงอยู่เขาเป็นคนที่ขยันทำมาหากิน หมั่นเก็บออมเงิน และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็นำเงินมาลงทุนเพื่อให้เงินทำงาน ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะบัฟเฟตต์เริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และนับจากนั้น เขาก็ให้เงินทำงานหนักกว่าเขาหลายเท่า
O คนรวยเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
คนจนมักจะคิดว่าฉันรู้หมดแล้ว ตรงกันข้ามกับคนรวยที่ขวนขวายหาความรู้ และมีนิสัยชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าใครที่ติดตามหรือแกะรอยความรวยของบัฟเฟตต์ ก็จะพบว่า แม้จะร่ำรวยแล้วแต่เขาก็ยังเป็นคนที่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และยังแนะนำให้ทุกคนหมั่นศึกษาหาความรู้ใส่ตัว และฝึกฝนทักษะในเรื่องต่างๆอยู่ตลอด
Oคนรวยแล้วจะยิ่งสมถะและใช้ชีวิตเรียบง่าย
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งของบรรดาเศรษฐีคือ ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ ยิ่งมั่งคั่งมาก พวกเขายิ่งใช้ชีวิตอย่างสมถะและเรียบง่ายมากกว่าคนที่เพิ่งรวย
ถ้าจะให้เห็นชัดเจนที่สุดคงเป็นเจ้าพ่อกระทิงแดงอย่างเฉลียว อยู่วิทยา ที่แม้ว่าเขาจะร่ำรวยระดับโลกแล้ว แต่ทุกวันนี้เขายังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะเหมือนกับเมื่อตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ ธรรมชาติของเขาคือความเรียบง่าย กินอยู่ง่ายๆแบบคนธรรมดาทั่วไป ใช้ข้าวของไม่ต่างจากตอนที่บุกเบิกธุรกิจ
ฝ่ายบัฟเฟตต์นั่นก็พอกัน ถึงจะมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมหาศาลแค่ไหน แต่เขายังคงใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไป เขายังคงใช้รถคันเก่าๆเล็กๆคันเดิมแทนรถสปอร์ตสุดหรู อยู่ในบ้านหลังเก่าแทนที่จะเป็นคฤหาสน์หลังโต เงินทองและทรัพย์สินที่บัฟเฟตต์หามาได้นั้น เขาแทบไม่ได้เอามาปรนเปรอความสุขให้ตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวของชีวิต ความสุขของมหาเศรษฐีอย่างเขาคือการนำเงินไปบริจาค
ทั้งหมดที่ว่านี้ คือวิธีคิดและมุมมองของผู้ร่ำรวย คุณเองก็เป็นเศรษฐีได้ ถ้าลองหยิบแง่คิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง แค่พัฒนาความฉลาดทางการเงินของตัวเอง และเริ่มต้นคิดให้เหมือนกับตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้าน จะช่วยให้เงินไหลเข้ามาหาคุณได้เอง
เรื่อง : กาญจนา หงษ์ทอง




ทีมา : www.nationejobs.com/content/money/pfinance/template.php?conno=504

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ฝึกให้เป็นคนคิดเชิงบวก

ฝึกให้เป็นคนคิดเชิงบวก

การเป็นคน ที่คิดในทางบวกอยู่เสมอจะทำให้คุณเป็นคนที่ความสุขในชีวิต การคิดบวกจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้คุณมีพฤติกรรมที่จะตอบสนองต่อบุคคลรอบข้าง ในทางบวกเช่นกัน อย่าลืมว่าการมีทัศนคติที่ดีย่อมจะส่งผลดีต่อการกระทำและผลลัพธ์ที่ออกมา เช่นกัน การปรับตนเองให้มีความคิดทางบวกเพื่อการให้บริการลูกค้าในทางบวกเช่นเดียว กัน มีเทคนิคและแนวทางง่ายๆ ดังต่อไปนี้

เรียนรู้และรับรู้ความรู้สึก และอารมณ์ตนเอง
การรู้ตัวอยู่เสมอว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และกำลังมีความรู้สึกอย่างไร จะทำให้คุณเข้าใจตนเองมากขึ้น และสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้ได้ เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังโกรธอยู่ คุณก็จะสามารถระงับอารมณ์ความโกรธนั้นให้ลดลงและเอาเหตุผลมาไตร่ตรองถึงความ โกรธที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากอะไร แล้วหาวิธีแก้ไขอย่างเหมาะสม

ให้กำลังใจ เพื่อสร้างพลังให้ตนเอง
การได้รับกำลังใจจะทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปสรรคและปัญหาที่ เกิดขึ้นได้ การให้กำลังใจตนเองก็เป็นการสร้างพลังกายพลังใจของคุณให้เข้มแข็ง อาจเริ่มต้นจากการพูดให้กำลังใจตนเอง เช่น ไม่เห็นจะเหนื่อยเลย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง, ก็ยังดีนะ ที่ไม่โดนหนักกว่านี้, เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับทุกคนไม่ต้องกลุ้มใจหรอก การให้กำลังใจตนเองก็เป็นการปรับทัศนคติในแง่บวกเช่นกันเพื่อผลักดันให้คุณ มีพลังในการทำงานต่อไป

หลีกเลี่ยงคำว่า “ ไม่” กับลูกค้า
ผู้ให้บริการที่ดี ไม่ควรปฏิเสธลูกค้า เพราะคำว่าไม่นั้นเป็นการแสดงออกถึงทัศนคติในแง่ลบ การปฏิเสธว่าไม่โดยยังไม่ทันได้วิเคราะห์ถึงปัญหา หรือพิจารณาถึงทางเลือกอื่นว่ามีโอกาสทำได้หรือไม่นั้นไม่ควรเป็นทำอย่าง ยิ่ง ควรหาทางออกอื่นให้ลูกค้าถ้าหากว่าสิ่งที่ลูกค้าขอนั้นไม่สามารถทำให้ได้ตาม ความต้องการ

เข้าใจธรรมชาติที่แตกต่างของลูกค้า
งานบริการเป็นงานที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ามากมายหลายประเภท การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างในเรื่องของ ความต้องการ ความคิด และบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันออกไปจะทำให้คุณไม่แสดงอารมณ์หงุดหงิดหรือแสดง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อลูกค้า
การปรับทัศนคติให้ คิดเชิงบวกอยู่เสมอ นอกจากจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ทำงานด้านการบริการแล้วยังสามารถนำมาปรับใช้ ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย การมีทัศนคติในทางบวกไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าคุณอยากจะให้ลูกค้าทั้งหลายติดใจและต้องการใช้บริการจากคุณอีก อย่าช้า!!เริ่มต้นฝึกให้เป็นคนคิดเชิงบวกเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อโอกาสที่ดีในวันข้างหน้า วันนี้!!คุณคิดบวกแล้วหรือยังคะ
หากคุณอยากจะมีความ สุขทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำงาน คุณควรปรับตนเองก่อนก่อนที่จะปรับเปลี่ยนคนอื่น เพราะผู้ที่มีความคิดดีมักจะเป็นบุคคลที่แสดงออกด้วยน้ำเสียง วาจา สีหน้า แววตา และการกระทำในทางที่ดีต่อลูกค้าที่คุณติดต่อด้วย สิ่งเหล่านี้จะเป็นเสน่ห์ที่คุณสร้างขึ้นมาเพื่อดึงดูดใจลูกค้าของคุณเอง

credit: http://th.jobsdb.com/TH/EN/Resources/JobSeekerArticle/customer_editor18.htm?ID=95

ขจัดความเครียดในการทำงาน…..ด้วยความคิดเชิงบวก


พิมพ์ อีเมล

ขจัดความเครียดในการทำงาน…..ด้วยความคิดเชิงบวก (Positive Thinking) 


          ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร ดิฉันเชื่อว่าคุณเคยประสบปัญหากับภาวะความเครียดในการทำงาน (Job Stress) มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งอาการที่แสดงออกมานั้นก็จะแตกต่างกันไป เช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ มือไม้สั่น เหงื่อออกเสมอ   กินอาหารไม่ได้ ท้องอืด ท้องเสีย เป็นโรคกระเพาะ เป็นต้น บางคนถึงขนาดเรียกภาวะดังกล่าวว่า "โรคเครียด"
         
          คุณเคยค้นหาสาเหตุบ้างไหมว่าความเครียดที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเองนั้น…เกิดจาก อะไร? คุณรู้ไหมว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณมีอาการต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงว่าคุณกำลังเครียดอยู่นั้น ก็คือ ความวิตกกังวล ซึ่งเป็นความคิดของ ตัวคุณเองในด้านลบที่เกิดขึ้น (Negative Thinking) ไม่ว่ากับตัวคุณเอง คนรอบข้าง หรือปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ ตัวคุณ เช่น "ฉันทำงานนั้นไม่ได้", "ฉันไม่ดี", "ทุกอย่างที่เกิดขึ้นฉันผิดเอง", "ฉันมันไม่ฉลาด", "ฉันเป็นคนทำให้งานไม่สำเร็จ" หรือ "หัวหน้างานไม่ดี", "เพื่อนร่วมงานไม่เก่ง" เป็นต้น ซึ่งความคิดด้านลบเหล่านั้นจะทำให้คุณไม่มีพลังใจในการทำงาน คุณรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง จนในที่สุดมันก็จะส่งผลทำให้คุณทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ (คิดอะไร ก็จะได้สิ่งนั้น)

          คุณเคยหาทางแก้ไขปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้นบ้างไหม ดิฉันเชื่อว่าคุณทุกคนคงไม่อยากให้ภาวะความ เครียดเกิดขึ้นกับตัวคุณเองอย่างแน่นอน มีหลายวิธีที่สามารถลดความเครียดลงได้ บางคนหาเวลาไปออกกำลังกาย บางคนนั่งสมาธิ ฝึกโยคะ เต้นแอโรบิค หรือเล่นกีฬาสุดโปรดของคุณ ซึ่งคุณได้พยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อลดความเครียดที่เกิดขึ้น แล้ววิธีการต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำให้คุณสามารถขจัดภาวะความเครียดได้บ้างไหม…. บางคนอาจทำได้ ….แต่บางคนอาจทำไม่ได้

          ดิฉันมีวิธีการหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถขจัดปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้น นั่นก็คือความคิดของตัวคุณเอง….ลองเปลี่ยนความคิดเชิงลบเป็นความคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนการรับรู้ของตัวคุณเองโดยอาจจะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับบางคน แต่ไม่ถึงขนาดว่าทำไม่ได้….ทุกคนทำได้….ฝึกคิดใหม่ ทำใหม่…..ของแบบนี้อาจต้องใช้เวลา… แต่ ไม่นานเกินรอนะคะ
การเปลี่ยนการ รับรู้จากด้านลบเป็นด้านบวกนั้นควรเริ่มที่ตรงไหน……มีเรื่องอะไรบ้าง….. ดิฉันขอสรุปสิ่งที่คุณควรเปลี่ยนความคิดจากด้านลบเป็นด้านบวกด้วย "หลัก 5 Yours" ดังนี้
         
          1.    ตัวคุณเอง (Yourself) ก่อนที่คุณจะมองคนอื่นคุณควรมองตัวคุณเองก่อน ความเคารพในตนเองเป็นการยอมรับในศักยภาพและความสามารถของตัวคุณ คุณทำได้ คุณดี ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น คุณควรจะฝึกพูดกับตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นการย้ำจิตของคุณอยู่ตลอดเวลา….เช่น I am good, I am better, I am best
          2.    หัวหน้างานของคุณ (Your Boss) หัวหน้างานเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่อาจทำให้คุณเกิดภาวะความเครียดได้ หัวหน้างานอาจพูดไม่ดีกับคุณ ต่อว่าคุณเสมอ ตอกย้ำว่าคุณไม่ฉลาด จู้จี้จุกจิก ตามงานทุก 5 นาที โยนงานใส่คุณ คุณเคยเจอเหตุการณ์เหล่านี้บ้างไหม ไม่ต้องใส่ใจนะคะ ถ้าคุณเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ให้คิดเสียว่าหัวหน้างานของคุณอาจเจอปัญหาทางบ้าน มีเรื่องกับภรรยา/สามีที่บ้าน เป็นต้น ดิฉันอยากให้คุณคิดเสมอว่าหัวหน้างานคุณไม่ใช่เจ้าชีวิตคุณ คุณไม่อยู่กับเค้าตลอดเวลาและสักวันหนึ่งคุณหรือหัวหน้างานคุณอาจย้ายสถาน ที่ทำงานไป แล้วทำไมคุณต้องเก็บเอาปัญหาของหัวหน้างานคุณมาเป็นอารมณ์ด้วย
          3.    เพื่อนร่วมงานของคุณ (Your Colleague) คุณคงไม่ทำงานคนเดียว..ใช่ไหมคะ ดังนั้นเพื่อนร่วมงานของคุณก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณเครียดได้ เช่น เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว ไม่ชอบทำงาน เอาแต่ประจบหัวหน้า ชอบนินทาผู้อื่น ชอบดูถูกในความสามารถของคนอื่น ชอบพูดจาให้ร้ายคนอื่นลับหลัง..อะไรทำนองนี้…คุณเคยเจอบ้างไหม ถ้าคุณเจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ดิฉันอยากให้คุณคิดเสมอว่าเค้าไม่ใช่เพื่อน สนิทคุณที่คุณต้องใส่ใจอะไรมากมาย เค้าเป็นเพียงแค่คนคนหนึ่งที่คุณต้องทำงานร่วมด้วย…เท่านั้นเอง…. การเจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ ดิฉันคิดว่าดีเสียอีกชีวิตมีรสชาด มันแปลกดีนะ…คนแบบนี้ก็มีด้วย (คิดด้านบวกไว้นะคะ)
          4.    งานของคุณ (Your Job) ความเครียดที่เกิดจากการทำงานของคุณ…มี 2 รูปแบบ คุณได้รับมอบหมายให้ทำงานง่ายจนเกินไป หรือ คุณได้รับมอบหมายให้ทำงานยากและท้าทายเกินไป ทั้งนี้ทุกคนมีความต้องการและความคาดหวังในการทำงานที่แตกต่างกันไป บางคนชอบทำงานง่าย ๆ แต่บางคนชอบงานที่ท้าทาย ซึ่งดิฉันคิดว่างานสมัยนี้ค่อนข้างหายาก คนบางคนอาจไม่สามารถเลือกงานได้แต่เค้าสามารถเลือกที่จะรักงานที่ทำได้ อย่ามัวแต่คิดว่าเราไม่ชอบ ไม่รักงานนั้น ทั้งนี้งานที่คุณไม่ชอบตอนนี้อาจจะเป็นงานที่คุณถนัดมากและสร้างรายได้ให้ กับตัวคุณเองอย่างมากมายในอนาคต (ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน) ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม ขอให้คิดเสมอว่านั่นเป็นงานที่คุณต้อง รับผิดชอบ จงทำให้มันดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของคุณจะทำได้ ควรเอาเวลาไปนั่งคิดหาทางปรับปรุงการทำงานของคุณจะดีกว่า อย่าไปคิดว่า ฉันไม่ชอบ ฉันจะไม่ทำ เพราะมันจะทำให้คุณไม่ใส่ใจที่จะคิดหาทางพัฒนางานของคุณเลย
          5.    ผลตอบแทนของคุณ (Your Compensation) ดิฉันยอมรับว่าเงินเดือนและผลตอบแทนต่าง ๆ ที่คุณได้รับอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณเครียดได้ คุณอาจได้รับเงินเดือนน้อยกว่าเพื่อนร่วมงานของคุณทั้ง ๆ ที่คุณทำงานมากกว่าพวกเค้า ดิฉันอยากให้คุณมองที่สาเหตุก่อน..ว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าเป็นเพราะผลจากการทำงานของคุณ ดิฉันอยากให้คุณพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานของคุณก่อน (แล้วค่อยมาดูต่อไปว่า คุณจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่) แต่ถ้าเป็นเพราะหัวหน้างานของคุณไม่ยุติธรรม บอกตามตรงนะคะ..มันคงแก้ไขยาก….แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง….ดิฉันอยากให้คุณ ตั้งใจทำงาน มุมานะในการทำงานให้สำเร็จ ขยัน อดทน และมีความรับผิดชอบในการทำงานให้มากขึ้น ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้….สักวันหนึ่งหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงานของคุณจะต้องเห็น

          ถ้าไม่มีใครเห็นคุณก็เห็นตัวคุณเองและรู้ตัวเองเสมอว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ (คิดทางด้านบวกไว้นะคะ) ดิฉันไม่อยากให้คุณคิดว่าเงินเดือนได้รับแค่นี้…ก็ทำเท่านี้….การทำงาน มากกว่าที่ได้รับมอบหมายให้เป็นสิ่งที่ดี เป็นการสร้างคุณค่าให้กับตนเอง (Value Added) มันอาจไม่เห็นผล ณ ตอนนี้ แต่ในอนาคตไม่แน่ไม่มีใครบอกได้ และ รับประกันได้ว่า ณ ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าไล่คุณออกอย่างแน่นอนเพราะคุณสามารถทำงานได้มากมาย …ไม่ต้องกลัวตกงานเลย (มีงานทำแน่นอน แต่เงินเดือนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คุณต้องตัดสินใจเอาเอง ลองถามตัวคุณเองก่อนว่าคุณอยากตกงาน..หรือมีงานทำ…"อย่าลืมว่ายุคสมัยนี้งาน เลือกคน มากกว่าคนเลือกงาน" หวังว่าคุณคงมีคำตอบแล้วนะคะ)

          ดังนั้น อย่ามัวแต่โทษตนเองหรือโทษผู้อื่น….เพราะนั่นเป็นความคิดด้านลบ ลองเปลี่ยนมาคิดด้านบวกดู…โดยมองสิ่งต่าง ๆ ในทางที่ดีและไม่ควรเก็บปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาคิด วิตกกังวล (มันผ่านมา เดี๋ยวมันก็ผ่านไป)…..ตัวคุณเองจะเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความเครียด…มิใช่ใคร อื่น….แก้ที่ความคิดของตัวคุณจะดีกว่า เพราะนั่นจะเป็นยารักษาโรคเครียดที่ดีที่สุดและได้ผลมากที่สุด  

ที่มา : อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์

เริ่มต้นคิดบวกจากการฝึกคิดสองด้าน


โดยธรรมชาติแล้วคนเรามีความรู้สึกอยู่ 3 สถานะคือ


  • ความรู้สึกด้านบวก(Positive) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกดีใจ ปลื้มใจ ภูมิใจ เช่น เหตุการณ์ในวันที่เรารับปริญญา เหตุการณ์ในวันที่เราบวช แต่งงาน มีลูกคนแรก ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้มักจะอยู่กับเรานาน นึกทีไรก็จำได้แม่นยำและชัดเจน เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็จำได้ เช่น ถามว่าวันเกิดของเราคือวันที่เท่าไหร่ วันที่ลูกเราคลอด วันที่เราเข้างานที่แรก วันที่เรารับปริญญา ฯลฯ

     
  • ความรู้สึกที่เป็นกลาง(Neutral) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือบุคคลที่เข้ามาในชีวิตเราแต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจเราทั้งเชิง บวกและเชิงลบ เช่น เราเดินผ่านศูนย์การค้า รถยนต์วิ่งไปมาบนถนน ฝนตกฟ้าร้อง เราเดินไปทานข้าวกลางวัน ฯลฯ เหตุการณ์ในกลุ่มนี้จะอยู่กับเราไม่นาน ไม่กี่วันก็ลืมเลือนไป เพราะมันไม่ถูกบันทึกลงในความจำของเราที่เป็นความจำส่วนลึก

     
  • ความรู้สึกด้านลบ(Negative)  ความ รู้สึกในกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกเสียใจ เศร้าใจ ทุกข์ เช่น วันที่เราเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล วันที่เราสูญเสียคนที่เรารัก วันที่เราทะเลาะกับหัวหน้าคนเก่าอย่างรุนแรงจนถูกไล่ออกจากงาน ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้จะอยู่กับเรานานมาก และที่สำคัญคือมันจะนึกได้เร็วและมาเร็วมาก และลืมได้ยากมาก บางเรื่องบันทึกติดตัวไปตลอดชีวิต

     

เมื่อชีวิตเราบันทึกสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบ แต่ไม่ค่อยบันทึกสิ่งที่เป็นกลาง ก็เท่ากับว่าเวลามีเหตุการณ์อะไรเข้ามาในชีวิตเรา เราก็จะไปค้นหาว่าเราเคยเจอเคยพบเหตุการณ์นี้มาก่อนหรือไม่ ถ้าเราเคยพบมาก่อนมันก็จะค้นต่อไปอีกว่าเป็นประสบการณ์เชิงบวกหรือเชิงลบ ถ้าสิ่งที่เราบันทึกไว้เป็นเชิงลบ เราก็จะคิดลบกับสิ่งที่เข้ามากระตุ้นเราในขณะนั้นๆ เช่น เราเจอคนมีหนวดเดินเข้ามาคุยกับเรา แว๊บแรกที่เราเห็นเขาสมองเราก็เริ่มกลับไปค้นหาว่าในอดีตเราเคยมีประสบการณ์ เจอคนมีหนวดบ้างหรือไม่ ถ้าส่วนใหญ่คนมีหนวดที่เราเคยเจอเป็นคนไม่ดี แน่นอนว่าความคิดลบของเราเกิดขึ้นมาทันที


ดังนั้น ประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนเป็นคนคิดบวกหรือคิดลบ ถ้าเรามีสิ่งที่เป็นลบและเป็นลบในระดับที่เท่าๆกัน ความคิดลบจะวิ่งเร็วกว่าความคิดบวก เพราะเป็นสิ่งที่คิดง่ายกว่า เป็นสิ่งที่อยู่ตื้นกว่า เป็นสิ่งที่เราดึงมันออกมาใช้บ่อยกว่า


ถ้าใครต้องการที่จะฝึกให้ตัวเองมีความคิดเชิงบวก อันดับแรกควรจะต้องฝึกคิดสองด้านควบคู่กันไปก่อน เช่น วันไหนเจอเหตุการณ์อะไร ขอให้ฝึกคิดทั้งสองด้าน เช่น วันนี้เราเจอหัวหน้าตำหนิ แน่นอนว่าความคิดลบคงจะออกมาก่อน เราอาจจะคิดว่าหัวหน้าไม่ชอบเรา กลั่นแกล้งเรา ฯลฯ แต่ขอให้เราลองพยายามคิดอีกด้านหนึ่งคือด้านบวกด้วย อาจจะคิดว่าเขาตำหนิเราเป็นเพราะเขาหวังดีกับเราอยากให้เราได้ดี เขาตำหนิเราก็เพราะเราผิดจริงๆด้วย ก็ดีจะได้รู้ว่าเราผิดตรงไหน เพราะวันข้างหน้าเราจะได้ระมัดระวังมากขึ้น ฯลฯ


เมื่อคุ้นเคยกับการคิดสองด้านแล้ว ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักให้กับการคิดเชิงบวก และสุดท้ายเราจะสามารถคิดเชิงบวกได้กับทุกสถานการณ์ได้โดยอัตโนมัติครับ
 
 
credit: http://www.peoplevalue.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539104599&Ntype=7

สร้างเนื้อสร้างตัว ผ่านหลายๆทาง





ผม เห็นหลายๆคน มีเป้าหมายชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอิสระ ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จก้าวหน้าของชีวิต หรือครอบครัวที่สมบูรณ์ อย่างนึงที่หลายๆคนไม่ได้พูดถึง คือ จะไปให้ถึงตรงนั้นอย่างไร


อย่างนึงที่หลายๆคนไม่ได้พูดถึง คือ จะไปให้ถึงตรงนั้นอย่างไร
ผมอยากแนะนำหัวข้อที่คนในเว๊ปนี้สนใจ

ว่าจะไปให้ถึงอิสระทางการเงิน ได้อย่างไร

วันนี้ขอเสนอหัวข้อ สร้างเนื้อสร้างตัว ผ่านหลายๆทาง

ต้อง แต่เราเรียนจบมา จากคนบ้านๆ ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทอง คนส่วนใหญ่ก็เพิ่งได้รับรายได้จริงๆ จากการเป็นลูกจ้างเป็นหลักแต่ การเป็นลูกจ้าง
และการเป็นพนักงานนี่แหละ มีน้อยคนมาก ที่จะประสบความสำเร็จในระดับที่เรียกว่ารวยได้ ต้องเป็นระดับ ผู้จัดการขึ้นไป ถึงจะเรียกได้ว่ามีอยู่มีกินในระดับที่ดี และน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะไปถึงระดับบริหาร ซึงน่าจะเรียกได้ว่า มีอันจะกิน
ลองคิดดูว่าเดี๋ยวนี้บ้านหลังละ 5 ล้านบาท ดูจะเป็นเรืองธรรมดาๆ
แต่คนเงินเดือนซัก 6 หมืนบาทนี่ซื้อไม่ได้นะ
คน เงินเดือน 6 หมืนบาทนี่ ผมว่า ถ้าไม่ได้ทำงานบริษัทฝรั่ง ระดับสุงๆหน่อย ก็น่าจะหายากพอดู ดังนั้นอาจจะเป็นอะไรที่ลำบากพอควรก่อนที่จะไปถึงระดับนั้น

แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เป็นลูกจ้างเลยนะ
เพราะลูกจ้างเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในชีวิต ไม่เคยเป็นลูกจ้างเลย เราก็ไม่รู้ว่าพนักงานคนอื่นๆคิดอย่างไร

จะเห็นได้ว่าจากภาพด้านบน คนส่วนใหญ่คงเป็นลูกจ้างอย่างเดียวไม่พอทีจะสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้

ดังนั้น เราต้อง สร้างเนื้อสร้างตัวผ่านหลายๆทาง
นอกจากเป็นลูกจ้างแล้ว เราคงต้องหารายได้อย่างอื่นๆ เข้ามาไม่งั้นเป้าหมายของเราคงไปถึงได้ยาก
ทางเลือกมีมากมายหลายแบบ
1. ทำงานอิสระ เป็น freelance
2. มีกิจการเป็นของตัวเอง
3. ลงทุนในหุ้น
4. ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
5. อย่างอื่นที่ผมไม่ได้คิดถึง

ผม ไม่ได้ใสการลงทุนใน bond เพราะผมคิดว่า bond ไม่ได้ทำให้รวยแต่ทำให้เรารักษาเงินต้นไม่ได้ เงินเฟ้อมันทำลายมูลค่าของเงินที่มีอยู่เท่านั้น ไม่ได้เพิ่มค่าเงินของเราอย่างมีนัยยะสำคัญ

รายได้ทางเดียวไม่พอ เพราะอยู่มันอาจหายไป แล้ว เราจะไม่สามารถกลับตัวได้ เช่นบริษัท lay off พนักงาน
เมื่อ วานพี่คนหนึ่งมา  interview กับผม ทำงานมาแล้ว 3 ปี เป็น super visor แต่ก็โดน lay off เพราะบริษัทขาดทุน ทั้งที่ตัวเองเป็นคนที่ดูแลงานเยอะมากในบริษัท แต่เมือแผนกโดนปิด ก็โดนทั้งแผนก

ดังนั้นเราต้องรู้ว่าเราเหมาะกับอะไร โดยดูตัวเองเป็นหลักว่าเหมาะกับอะไร แต่อย่าพยายามจำกัดตัวเองให้อยู่แค่ สิ่งที่เห็นเฉพาะหน้า รายได้ที่ได้รับอยุ่ แต่คงต้องมองด้วยว่า ตอนนี้ เราคงต้องบริหารความเสี่ยง โดยที่หารายได้หลายๆทางที่มา จาก Thai  Value Investor

credit: http://www.taradfreelance.com/index.php?option=com_content&view=article&id=62&Itemid=84

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สัญญาณ Wi-Fi สามารถมองเห็นทะลุกำแพง


นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยูท่า ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยถึงข้อมูลการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับลักษณะของคลื่นสัญญาณที่ใช้ในเครือข่ายไร้สาย หรือที่รู้จักกันว่าอินเตอร์เน็ตแบบไร้สายนั่นเอง โดยคลื่นสัญญาณเหล่านี้มีความแข็งแรงและสามารถใช้เพื่อการสังเกตความเคลื่อนไหวของคนที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงหรือประตู

โจอี้ วิลสัน (Joey Wilson) และ นีล (Neal Patwari) ได้ใช้การทดลองความแข็งแรงของคลื่นสัญญาณที่เป็นแบบคลื่นวิทยุที่เกิดขึ้นระหว่างจุดรับส่งสัญญาณ wireless สองจุด เพื่อตรวจสอบดูความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ท่าทางการเคลื่อนไหวของคนระหว่างจุดรับส่งสัญญาณสองจุดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางและความแข็งแรงของคลื่นสัญญาณ 

จากนั้นทางนักวิจัยได้เพิ่มจุดรับส่งสัญญาณมากขึ้น ทำให้คลื่นสัญญาณที่อยู่ตรงพื้นที่ว่างระหว่างจุดรับส่งสัญญาณมีคลื่นสัญญาณมากมาย และเมื่อคนมีการเคลื่อนที่ในบริเวณนั้นจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสัญญาณ และสามารถนำเอาการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมาร่างเป็นลักษณะของการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นได้ โดยเทคนิคนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า variance-based radio tomographic imaging

นักวิจัยได้ใช้จุดรับส่งสัญญาณเครือข่ายเป็นจำนวน 34 จุดภายนอกห้องรับแขกของบ้านที่ใช้ทดลองระบบ และพบว่าระบบสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอีกฝั่งของกำแพงห้องในระยะ 3 ฟุตได้ โดยผลการทำงานของระบบขณะนี้จะสามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวได้ว่าเป็นลักษณะใด แต่ในส่วนของการสร้างภาพของการเคลื่อนไหวที่ตรวจสอบได้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา มากไปกว่านั้นนักวิจัยยังต้องการพัฒนาความถูกต้องในการทำงานของระบบในการตรวจสอบความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นโดยการใช้จำนวนจุดรับส่งสัญญาณเครือข่ายไร้สาย หรือตัวอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณในจำนวนที่ลดลง

การพัฒนาเทคโนโลยีนี้มีจุดประสงค์ในการช่วยทางด้านการติดตามและค้นหาเพื่อการช่วยเหลือ ช่วยชีวิตในสถานการณ์ต่างๆ เช่นการค้นหาผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ในซากปรักหักพังของตึกที่เกิดจากแผ่นดินไหวว่าอยู่ตำแหน่งใดบ้าง โดยตัวระบบจะสามารถนำไปติดตั้ง ณ ที่เกิดเหตุได้อย่างง่ายดาย  เนื่องจากอุปกรณ์สามารถย้ายที่ได้โดยง่าย

นักวิจัยยังมีแผนจะติดตั้งระบบ GPS ไปที่ตัวอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ให้สามารถทราบพิกัดที่ทำงานและตำแหน่งต่างๆ

ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตัวระบบจะถูกนำไปติดตั้งไว้ที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการประมวลผล จากนั้นตัวรับส่งสัญญาณจะเริ่มทำงาน อคมพิวเตอร์ก็จะเก็บข้อมูลที่ได้มาประมวลผลเพื่อหาการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น เช่นตำแหน่งของผู้รอดชีวิต

ข้อดีของเทคโนโลยีใหม่นี้สามารถทำงานตรวจสอบการเคลื่อนไหวผ่านสิ่งกั้น อย่างกำแพงได้ ด้วยราคาต้นทุนระบบที่ไม่แพง เพราะอุปกรณ์หลักจะเป็นอุปกรณ์ตัวรับส่งสัญญาณเครือข่ายไร้สายที่มีจำหน่ายทั่วไปในราคาที่ไม่สูง

ที่มา
วารสารออนไลน์ Through-Wall Tracking Using Variance-Based Radio Tomography Networks, Joey Wilson, Neal Patwari, arXiv:0909.5417

โดย
ธนัช

172532

สร้างบรรยากาศในบ้านด้วยกลิ่นหอมผ่อนคลาย

Aroma, น้ำมันหอม, สปา Aroma, น้ำมันหอม, สปา Aroma, น้ำมันหอม, สปา
      กลิ่นหอมๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหอมระเหย เทียนหอม ธูปหอม เกลือสปา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างสรรค์บรรยากาศ ให้บ้านน่าอยู่และผู้อยู่อาศัยในบ้านรู้สึกผ่อนคลาย ด้วยการรับรู้ทางสัมผัส ซึ่งแต่ละกลิ่นนั้นช่วยส่งผลจิตใจ และสุขภาพของคนในบ้านในลักษณะที่แตกต่างกัน มาดูกันซิว่ากลิ่นหอมๆแบบไหน ที่เหมาะกับการสร้างบรรยากาศในบ้านของคุณ

              กลิ่นคาโมไมล์ ช่วยผ่อนคลายและทำให้หลับสบาย
             กลิ่นกำยาน ให้ความรู้สึกที่เย็นสบาย ผ่อนคลาย
             กลิ่นดอกมะลิ ช่วยบรรเทาอาการกล้ามเนื้อตึงเครียด
             กลิ่นสน ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและให้ผลดีต่อระบบทางเดินหายใจ
             กลิ่นทรีที ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ และช่วยให้มีทัศนคติในเชิงบวก
             กลิ่นกุหลาบ ช่วยผ่อนคลายความเครียดและเพิ่มความเชื่อมั่น
             กลิ่นกระดังงา ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
             กลิ่นส้ม ช่วยให้จิตใจเบิกบาน สดชื่น
             กลิ่นมะนาว ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า
             กลิ่นมะกรูด ช่วยให้จิตใจร่าเริง สดชื่น ชื่นบาน ฯลฯ

       การสร้างกลิ่นหอมๆ ให้เกิดขึ้นภายในบ้าน เป็นวิธีง่ายๆ อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศให้บ้านคุณ ขึ้นอยู่กับเจ้าบ้านอย่างคุณแล้วล่ะค่ะ ว่าจะสร้างบรรยากาศของบ้านให้เป็นแบบใด

credit: http://www.phuketbulletin.co.th/Property/view.php?id=90

รู้หรือไม่ เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟกี่วัตต์




ัตต์หรือแรงเทียนคือพลังไฟฟ้าหรือกำลังไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีวัตต์มากก็กินไฟมากกว่า
ที่มีวัตต์น้อย (ในเวลาเท่ากัน)
1 กิโลวัตต์ คือ 1,000 วัตต์
1 หน่วย หรือ 1 ยูนิต หรือ 1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง คือพลังงานไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้า
ขนาด 1,000 วัตต์ เปิดนาน 1 ชั่วโมง
ตัวอย่าง : หลอดไฟหลอดละ 100 วัตต์ จำนวน 10 หลอด
รวม 100 x 10 = 1,000 วัตต์
ถ้าเปิดนาน 2 ชั่วโมง ทั้ง 10 หลอด จะเปลืองไฟฟ้า
รวม = 1,000 วัตต์ x 2 ชั่วโมง = 2,000 วัตต์-ชั่วโมง
หรือ = 2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง หรือ = 2 หน่วย หรือ 2 ยูนิต


เครื่องใช้ของท่านกินไฟประมาณกี่วัตต์
พัดลมตั้งพื้น 45-75 วัตต์ ตู้เย็น 2-12 คิว (ลบ.ฟุต) 53-194 วัตต์
พัดลมเพดาน 70-104 วัตต์ เครื่องปรับอากาศ 680-3,300 วัตต์
หม้อหุงข้าวไฟฟ้า 500-1,000 วัตต์ เครื่องดูดฝุ่น 625-1,000 วัตต์
เตารีดไฟฟ้า 430-1,600 วัตต์ เตาไฟฟ้า (เดี่ยว) 300-1,500 วัตต์
เครื่องทำน้ำร้อนในห้องน้ำ 900-4,800 วัตต์ โทรทัศน์ ขาว-ดำ 24-30 วัตต์
เครื่องปิ้งขนมปัง 600-1,000 วัตต์ โทรทัศน์สี 43-95 วัตต์
เครื่องเป่าผม 300-1,300 วัตต์ วีดีโอ 30-50 วัตต์
เครื่องซักผ้า 250-2,000 วัตต์ เครื่องอบผ้าแห้ง 650-2,500 วัตต์
เครื่องซักผ้าแบบมีเครื่องอบผ้า หรือ เครื่องตั้งอุณหภูมิของน้ำ 250-2,000 วัตต์
อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้าและสายไฟชำรุดไฟรั่ว จะสิ้นเปลืองเปล่าประโยชน์ และอาจมีอันตรายถึงชีวิต
แหล่งข้อมูล www.pea.co.th

 credit: http://www.pearangsit.com/index.php?mo=3&art=136309

กลิ่นหอมภายในบ้าน



 คุณ ทราบหรือไม่ว่ากลิ่นหอม (fragrance) ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมนำมาใช้บำบัดความเครียด ความอ่อนล้าของร่างกายจากการทำงาน ที่รู้จักหรือเรียกกันว่า Aromatherapy นั้น ก็ส่วนหนึ่งของการตกแต่งบ้านมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตัวอย่างเช่น การจุดกำยานของจีน , อินเดียมีการใช้เครื่องหอมในห้องนอน , หรือการนำดอกไม้หอมไม่ว่าจะเป็นดอกมะลิ ดอกจำปีจำปา มาร้อยประดับตกแต่งภายในบ้านของคนไทยสมัยโบราณ จากการศึกษาเรื่องกลิ่น คนเราจะใช้เวลาเพียง 2 วินาทีในการรับรู้กลิ่นผ่านทางจมูก เดินทางไปยังสมอง รับรู้และตอบสนองต่อกลิ่นนั้น ๆ เช่น กลิ่นหอมของดอกมะลิยามเช้าจะทำให้รู้สึกสดชื่น ในขณะที่กลิ่นอาหารเช้าทำให้เกิดความรู้สึกหิว มีการศึกษาเรื่องของกลิ่นสัมพันธ์กับอารมณ์ การรับรู้ทำให้เกิดผลกับความรู้สึกของร่างกายมนุษย์ แต่ละกลิ่นจะให้ความรู้สึกแตกต่างกัน 
 
บางกลิ่น ให้ความรู้สึกสงบ มีสมาธิ เช่นธูปจึงนิยมใช้ในพิธีทางศาสนา บางกลิ่นช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับสบาย บางกลิ่นให้ความรู้สึกสดชื่น ช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉง สามารถทำงานได้ดีและต่อเนื่อง
 

ปัจจุบันจึงมีการศึกษาเรื่องกลิ่นและนำมาใช้ภายในบ้านช่วยส่งเสริมให้ผู้อาศัยมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ
เรา ควรจะดูแลจัดบ้านให้เรียบร้อย หมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ ถ้ามีเวลาก็เพิ่มการตกแต่งให้เกิดบรรยากาศอบอุ่น และเป็นกันเอง ถ้าเพิ่มกลิ่นที่หอมสะอาดก็จะทำให้ผู้อยู่ในบ้านรู้สึกสดชื่น ยิ่งถ้าคุณมีแขกมาที่บ้าน บรรยากาศภายในบ้านก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความประทับใจ
ดอกไม้หรือ ต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม สิ่งที่หาได้ง่ายที่สุดและเป็นธรรมชาติ คือการตัดดอกไม้สดที่มีกลิ่นหอมจากสวนคุณเอง ไม่ว่าจะเป็น ดอกแก้ว กุหลาบ ปีบ พุดซ้อน มะลิ มาปักแจกัน หรือใส่ถาดลอยน้ำ เท่านี้ห้องของคุณก็จะดูสดชื่น พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกไม้สด ไม่ยากเลยใช่ไหมค่ะ
 

เทียน หอม เป็นที่นิยมและสามารถหาได้ทั่วไป เมื่อจุดให้แสงอ่อน ๆ และกลิ่นหอมทั่วห้อง มี 2 แบบคือ แบบมีกลิ่นหอมอยู่ในตัว และแบบสเปร์หรือหยดน้ำมันหอม สามารถเลือกกลิ่นที่คุณชอบได้ ให้กลิ่นประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง เปลือกมะนาวหรือมะกรูด เปลือกทั้ง 2 ชนิดจะทำหน้าที่ใกล้เคียงกันคือ ดูดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์และให้กลิ่นหอมอ่อนสดชื่น เพียงคุณหาถ้วยหรือภาชนะประเภทพานใบย่อม ใส่เปลือกมะกรูดที่คั้นน้ำแล้ว 3 - 4 ชิ้น นำไปวางบริเวณที่อากาศไม่ค่อยถ่ายเท จะช่วยดูดกลิ่นอับชื้น เหมาะสำหรับห้องครัว (จะมีกลิ่นจากการประกอบอาหาร กำจัดยาก) และห้องน้ำ ให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ
ถ้าพิจารณาดูดี ๆ ไทยเราก็มี วัฒนธรรมเกี่ยวกับเครื่องหอมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็น มาลัยดอกมะลิสด หรือน้ำอบที่มีกลิ่นหอมดอกไม้จาง ๆใช้ประพรมในงาน การนำเครื่องหอมมาใช้จึงไม่ใช่ของใหม่เสียทีเดียว และในปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์เครื่องหอมต่าง ๆ มาให้เลือกใช้มากมาย ตอนต่อไปจะพูดถึงการใช้กลิ่นหอมสำหรับห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน

 

ปัจจุบัน ได้มีการผลิตน้ำหอมที่ใช้ภายในบ้าน สำหรับห้องต่างๆ ง่ายและสะดวกสำหรับบุคคลที่ไม่มีแม่บ้าน หรือต้องการความเร่งรีบในแต่ละวัน ซึ่งกลิ่นแต่ละกลิ่นก็มีให้เราได้เลือกหลากหลายมากมายทีเดียว
     
แต่งแต้มอารมณ์ของคุณด้วยสเปรย์น้ำหอมปรับอากาศ สำหรับห้องต่างๆ ในบ้านคุณ 
ห้องน้ำ:( Bath room)
417 146 Hyncinth & Lily
ให้ ความรู้สึกสดใสร่าเริงกับห้องน้ำของคุณด้วยกลิ่นดอกไม้ จากการผสมผสานกัน ระหว่างพันธุ์ไม้ตระกูล Hyacinth และลิลลี่ตระกูล Cyclamen ร่วมกับกลิ่นไลม์ และมะนาวให้ความรู้สึกสดชื่นและช่วยลดกลิ่นน้ำยาฆ่าเชิ้อในห้องน้ำได้
 

ห้องทำงาน:( Study room)
417 147 Mint & Jasmin
เปอเปอร์ มินท์เป็นน้ำมันหอมระเหยจากพืชพรรณธรรมชาติ เหมาะสำหรับการเรียนหรือการทำงาน เปอเปอร์มินท์จะช่วยกระตุ้นสมองคุณและช่วยทำให้สมองคุณปลอดโปร่ง อีกทั้งกลิ่นมะลิที่จะช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้น
 

ห้องครัว:( Kitchen room)
417 148 Citrus & Spice
ไอร้อนจากการทำอาหารทำให้เกิดกลิ่น คุณ
แก้ไข โดยกลิ่นแนว citrus และ spicy กลิ่นส้มแมนดารินและมะนาวช่วยสร้างบรรยากาศให้สดชื่น กลิ่นอบเชยและโป๊ยกั๊กช่วยสร้างบรรยากาศให้รื่นเริงขึ้น

  

ห้องนอน:( Bed room)
417 149 Lavender & Rose
ห้อง นอนเป็นที่พักผ่อนหลังจากการทำงานหนักมาตลอดวัน กลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยทำจิตใจคุณให้สงบ ช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจของคุณ กลิ่นกุหลาบช่วยประสานร่างกายและอารมณ์คุณให้มั่นคงยิ่งขึ้น ทำให้การการนอนเป็นการพักผ่อนที่ดีเยี่ยมตลอดทั้งคืน

  
ห้องนั่งเล่น:( Living room)
417 150 Lily of the Valley & Citrus
ให้ ความร่าเริงกับห้องนั่งเล่นของคุณโดยละอองจาก Lily of the valley และแนวกลิ่น citrus จากมะนาวและมะกรูด มะกรูดมีคุณสมบัติช่วยให้จิตใจคุณสงบ ทั้งเรื่องความกังวลและความตึงเครียดจากงาน คุณจะพบกลิ่นไอที่ผ่อนคลายและหายกังวล 



credit : http://iam.hunsa.com/purevodka/article/22283

5 วิธีเติมกลิ่นหอมให้บ้าน

แทน ที่จะต้องฉีดสเปรย์หอมปรับอากาศที่มีส่วนผสมของสารเคมีเป็นประจำ ลองเลือกวิธีธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้หรือหลายๆ วิธีพร้อมกันเพื่อทำให้บ้านของคุณมีกลิ่นหอมชื่นใจ
  1. ปลูกต้นไม้ในบ้าน เลือกต้นไม้หรือสมุนไพรที่คุณชอบมาปลูกในครัว ในห้องนั่งเล่น และห้องน้ำ ต้นไม้จะช่วยลดมลพิษทางอากาศภายในบ้าน และทำให้มีอากาศไหลเวียนในบ้านอยู่เสมอ
  2. ใช้ประโยชน์จากเปลือกส้มและมะนาว น้ำมันจากเปลือกส้มและมะนาวให้กลิ่นหอมชื่นใจและช่วยดับกลิ่นต่างๆ ใช้ใส่ในถังขยะเพื่อดับกลิ่น หรือต้มน้ำแล้วใส่เปลือกส้มและมะนาวลงไปเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมสดชื่นในครัวก็ ได้
  3. ผสมน้ำมันหอมระเหยกับน้ำ คุณสามารถใช้ส่าวนผสมนี้ฉีดตามเฟอร์นิเจอร์ พรม เพื่อให้ห้องมีกลิ่นหอมตามต้องการ โดยคุณสามารถใช้กลิ่นหอมกลิ่นหนึ่งสำหรับห้องหนึ่ง และอีกกลิ่นสำหรับอีกห้องก็ได้ เช่น ลาเวนเดอร์สำหรับห้องนอน แซนดัลวู้ดสำหรับห้องพักผ่อน และเปปเปอร์มินต์สำหรับห้องน้ำ
  4. วางชามน้ำส้มสายชูเอาไว้ตามมุมห้อง น้ำส้มสายชูจะดูกกลิ่นแรงๆ ต่างๆ และทำให้กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ จางลง
  5. จุดเทียนหอมแทนเทียนธรรมดา มันจะช่วยเติมกลิ่นหอมอบอวลในบ้านได้อีกทางหนึ่ง

credit: http://www.lisaguru.com/sexlovemoney/

วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สเปคก็เยอะทำไมเครื่องช้าไวรัสก็ไม่มี

1.เครื่องจะเร็ว ไม่เร็ว เกินครึ่ง ที่เป็นเพราะคนใช้ ถ้าคนใช้เป็น คอมสเป็คไหนก้เร็วได้
2.ชอบไปหาโหลดโปรแกรม นู้น นี้ นั้น มา ลง-ลง  ลบ-ลบ  แบบลองไปเรื่อยหรือไม่
3. ระวังโทรศัพท์มือถือให้ดี ไวรัส ตัวร้ายๆทั้งนั้น ถ้าเครื่องติดไวรัส ให้สเป็คไหนก้ไม่เหลือ
4. เคยมั้ยที่จะทำการ Empty Recycle Bin
5. เคยมั้ยที่จะทำการถ่ายน้ำมันเครื่อง ( เอ้ยไม่เกี่ยว )  ที่จะทำการ Disk Defragment ผมแนะนำโปรแกรมช่วยทำ Disk Defragment  ตัวนี้ดูครับ ( เป็นฟรีแวร์ นะ ไม่ผิดกฏ ) โหลดเลยท่าน ช่วยได้มาก มันดีกว่าตัว Disk Defragment ของ วินโดว์ เป็นกองๆ ( โปรแกรมไรที่ติดมากับวินโด้ส่วนมากมันจะมีความสามารถน้อย อย่างเช่น IE ....หุหุ )

นี่ตัวล่าสุด   http://majorgeeks.com/Auslogics_Disk_Defrag_d5266.html

หรือ   http://www.tucows.com/preview/505489  ทำบ่อยๆ ซักเดือนละ 2 - 4 ครั้ง ( แต่อย่าบ่อยมากเกินไป )

6. สเป็คท่านที่ว่าสูงมันมีอะไรบ้าง ตัวฮาร์ดแวร์ ที่มใส่ๆเข้าไปมัน รองรับ ซัปพอร์ท กันดีแค่ไหน หรือว่าเห็นชิ้นไหนสวย ก็ จับๆเอามาใส่กันเอง

7. ตัวฮาร์ดแวร์มันมีปัญหาเรื่องความร้อนสูงหรือไม่ เคสร้อนเกินไปมั้ย อุณหภูมิ CPU เท่าไหร่ ต่างกันมากมั้ยระหว่างทำงาน กับ ไม่ทำงาน

8. ชอบใช้เครื่องแบบดุดุ หรือเปล่า ประเภท ออนเอ็ม 2-3 หน้าต่าง + เล่นเกมส์ออนไลน์ไปด้วย + โหลดบิท อิก ผมเห็นมาเย้อครับพวกชอบ ทรมาน ฮาร์ดแวร์เนี่ย เห็นแล้วสงสารเครื่องเลย

9. ไดร์ฟ C เหลือพื้นที่เท่าไหร่ เคยเช็คดูบ้างมั้ย โหลดอะไรมาเก็บไว้ มากมายหรือเปล่า แล้วตรงหน้า Desktop เนี่ย ท่านได้ทำ สุสาน ( Folder ) ไว้เป็นที่ เก็บรูป เก็บหนัง เก็บเพลง อะไรอิลุงตุงนังหรือเปล่า อันนี้มีส่วนมากตอนเปิดเครื่อง กว่าจะรันได้จนเม้าส์หยุดหมุน อ่ะ นาน มากๆ ( อันนี้ผมเห็นเด็กๆที่เพิ่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นชอบทำกัน เพราะมันหาง่ายกว่าการเอาไปเก็บที่ไดร์ฟอื่น )

10. ครั้งสุดท้ายที่ลงวินโด้มัน นาน มากหรือยัง ถ้าเล่นบ่อย หรือ ทุกวัน + วินโด้ว์เก๊ ได้ซัก 6 เดือนก็เริ่ม ด๊อง แล้วครับท่าน

11. ถ้าทำตามขั้นต้นมาทั้งหมดแล้วยังไม่ไดีขึ้น ก้เป็นไปได้ 2 สาเหตุ

- ติดไวรัส จำพวก สไปแวร์ ที่โปรแกรมสแกนไวรัสเราไม่รู้จักหรือลบไม่เป็น หาไม่เจอ ลองเปิก Task manager ขึ้นมาดูบ้างมั้ย ดูว่ามีตัวอะไรมันรันอยู่บ้าง ดูซีพียูซิมันทำงานกี่เปอร์เซ็นต์ถ้าปล่อยเครื่องไว้เฉยๆ
- วินโดว์  วินโดว์ ไม่สมบูรณ์ อันนี้เป็นกันง่ายๆ ตอนลงหัวอ่านไม่ดี เครื่องสกปรก แผ่นเป็นรอย หรือ เขียนแผ่นมาไม่ดี ใช้ไปใช้ไป มันก็เจ้๊ง

credit: http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=69799fbd7caaa1e6

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จัดสวนกับฮวงจุ้ย



จัดสวน ฮวงจุ้ย
การจัดฮวงจุ้ยในเชิงชัยภูมิให้ส่งเสริมกับตัวบ้านของเรานั้น มีทั้งส่วนที่เราควบคุมไม่ได้นั่นก็คือชัยภูมิภายนอก เช่น ลักษณะของบ้าน, สำนักงาน หรือ โรงงานข้างเคียง เสาไฟฟ้า, หม้อแปลงไฟฟ้า, ต้นไม้ ของราชการ ซึ่งเราคงไม่สามารถไปปรับเปลี่ยนชัยภูมิดังกล่าวได้ หากมีลักษณะที่ไม่เหมาะสมกับบ้านของเรา อย่างไรก็ตามในชัยภูมิภายนอกบ้านอีกอย่างที่เราสามารถควบคุมได้เองคือการจัดสวนในบริเวณที่ดินของเรา
เนื่องจากการจัดฮวงจุ้ยในเชิงชัยภูมิที่ดีนั้นต้องประกอบด้วยหลักการใหญ่ๆ 3 ข้อ ได้แก่
1. การหาจุดจ่ายกระแสพลังงาน หรือการหาว่าหน้าประตูบ้านบานหลักของเราสามารถรับกระแสพลังจากลมธรรมชาติได้หรือไม่ หากไม่ได้ ก็ให้พิจารณาว่ามีจุดจ่ายกระแสจากการจราจรของยานพาหนะหรือผู้คนหรือไม่ และสุดท้ายหากเราไม่สามารถหาจุดจ่ายกระแสพลังงานจากสองแหล่งดังกล่าวได้ ให้เราพิจารณาถึงการสร้างจุดจ่ายกระแสเทียมได้แก่ การขุดบ่อปลา, บ่อน้ำพุ, ตั้งโอ่งน้ำล้น หรือ ติดพัดลม ฯลฯ
2. การดักกระแสพลังงาน หรือการจัดให้ชัยภูมิมีความสามารถในการดักกระแสลมธรรมชาติ ให้พัดผ่านเข้ามีที่หน้าประตูบ้านได้ เพราะแม้ว่าบ้านเราจะมีกระแสลมธรรมชาตพัดผ่านมา แต่หากเราไม่มีชัยภูมิที่สามารถดักกระแสได้ ก็เท่ากับว่าเราเห็นโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ไม่สามารถฉกฉวยหรือไขว่คว้าโอกาสนั้นๆได้
3. การกักเก็บกระแสพลังงาน หรือการจัดชัยภูมิให้สามารถสะสมพลังงานที่บ้านเราได้รับมาได้ หากเราสามารถกักเก็บพลังงานไว้บริเวณหน้าประตูบ้านเราได้มากเท่าไร โอกาสที่พลังงานจะเข้ามาสู่ภายในบ้านของเรายิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ลานโล่งบริเวณประตูหน้าหรือบ่อน้ำบริเวณประตูหน้าบ้านหากอยู่ในตำแหน่งที่ดี ถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยในการกักเก็บพลังงานได้ดี
จากหลักการข้างต้นทำให้สามารถสรุปภาพของการจัดชัยภูมิสวนของเราได้ดังต่อไปนี้ครับ โดยบริเวณหน้าประตูบ้านของเราหากต้องมีสวนขอให้จัดให้มีระดับที่เทลาดเข้าจากเขตรั้วมาถึงหน้าประตูบ้าน เนื่องจากกระแสอากาสนั้นถือว่าเป็นสสารชนิดหนึ่ง ซึ่งตัวของมันมีมวลหรือน้ำหนักและจะถูกดึงโดยแรงดึงดูดของโลกให้ลงสู่จุดที่ต่ำลงเสมอ โดยระดับที่สูงกว่าของพื้นสวนทางด้านรั้วบ้านนั้นสูงกว่าสัก 2-3 นิ้ว ถือว่ากำลังดีแล้ว เพราะหากสูงมากจนขึ้นมาบังระดับวงกบล่างของประตู (หรือธรณีประตูถ้ามี) จะถือว่าไม่ดี หากเราต้องการทดสอบคร่าวๆก็สามารถทำได้โดยการลองรดน้ำบริเวณสวนของเรา หากน้ำค่อยๆวิ่งไหลมาบริเวณปากประตูบ้านนั้นถือว่าเป็นระดับการเทลาดที่ดี สำหรับวางระบบการป้องกันน้ำไลเข้าภายในบ้านขอให้ท่านปรึกษา ”ภูมิสถาปนิก” หรือ ”นักจัดสวน” เพราะไม่เป็นเรื่องยากในการป้องกันอยู่แล้ว
หากท่านได้รับการแนะนำจาก "ซินแสมืออาชีพ" และสามารถคำนวณได้ว่าทิศทางด้านหน้าประตูของท่านเป็นทิศที่ได้รับโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองในยุคที่ 8 ตามระบบของการคำนวณฮวงจุ้ยในระบบดาวเหิน (ดาว 9 ยุค, เสวียนคง หรือ เฮี่ยงคง) การมีบ่อน้ำพุ, บ่อปลา, หรือโอ่งน้ำล้น ในบริเวณสวนหน้าประตูบ้านนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากเนื่องจากจะช่วยสร้างความเคลื่อนไหวและก่อให้เกิดพลังงานที่กระตุ้นพลังงานแห่งโชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง อย่างไรก็ตามหากท่านไม่ได้รับการคำนวณพลังงานอย่างละเอียด ผมไม่แนะนำให้มีการทำบ่อน้ำพุ, บ่อปลา, โอ่งน้ำล้น หรือ สิ่งเคลื่อนไหวอื่นๆ เพราะอาจจะเป็นการไปกระตุ้นพลังงานไม่ดีประจำยุคได้ครับ ซึ่งจะทำให้ท่านไม่ได้รับความเจริญรุ่งเรืองตลอดยุค 8 (พศ.2547-2567)
ส่วนการจัดสวนในด้านอื่นๆให้ทำเช่นเดียวกันกับด้านหน้าประตูบ้าน คือให้มีการเทลาดกลับมาที่ฝั่งตัวบ้าน โดยให้สวนฝั่งที่ติดรั้วสูงกว่าฝั่งตัวบ้านได้ตามที่เราต้องการ หากคิดภาพไม่ออกให้ลองดูที่อุ้งมือของเราเหมือนกับเราสร้างบ้านอยู่กลางอุ้งมือ จะทำให้กระแสพลังวิ่งหลากมาได้ดีที่สุด เพราะบ้านเราถือว่าเป็นจุดที่ต่ำสุดของอุ้งมือนั่นเอง แต่ต้องอย่าลืมว่าเฉพาะด้านหน้าประตูบ้านเราจะไม่พยายามให้สวนด้านรั้วบ้านสูงกว่าหน้าประตูบานมากเกินไปครับ สำหรับบางท่านที่ต้องการจัดสวนหินนั้น ขอให้ใช้หินชนิดที่ขนาดเล็กและละเอียด เนื่องจากจะสามารถเกลี่ยระดับได้ดีไม่ทำให้การไหลเวียนของกระแสอากาศติดขัด กลับกันหากเราใช้หินขนิดที่ขนาดใหญ่และหยาบจะทำให้เกลี่ยระดับได้ยากทำให้การไหลเวียนของกระแสอากาศติดขัด
สำหรับการปลูกต้นไม้ ให้ทำการปลูกบริเวณสวนด้านข้างหรือสวนด้านหลังบ้านเป็นหลัก เพื่อให้ไม่กีดขวางกระแสพลังที่จะพัดผ่านเข้ามาที่ประตูหน้าบ้าน โดยหากมีความจำเป็นต้องปลูกต้นไม้หน้าบ้านจริงๆ ให้พยายามอย่าขวางประตูหน้าบ้านจะดีที่สุด และไม่ควรเป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่หรือรกมาก เนื่องจากจะกีดกันกระแสพลังงานไม่ให้เข้ามาที่ประตูบ้านเราได้
จัดสวน
สวนบริเวณหน้าบ้านที่ดีต้องโล่งและโปร่ง (ภาพนี้ยังมีข้อเสียที่ทำระดับเทลาดออกจากหน้าบ้าน)

จัดสวน 
สวนที่ไม่ดีเพราะบังประตูหน้าของบ้านและมีระดับที่เทลาดออกมาก

ฮวงจุ้ย
สำหรับด้านหลังหรือด้านข้างของบ้านสามารถปลูกต้นไม้ทึบได้ตามต้องการ

สุดท้ายนี้เพื่อความง่ายในการวัดผลของการจัดสวนบริเวณบ้านของท่านทุกๆท่านสามารถทดสอบด้วยตัวเองได้ โดยการยืนที่หน้าประตูบ้าน หากรู้สึกถึงลมทีพัดผ่านเข้ามาที่ปากประตูบ้านของท่านได้ดี ให้ถือว่ามีโอกาสที่บ้านของท่านจะมีฮวงจุ้ยที่ดีได้เกินครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ถ้าบ้านใดที่ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงกระแสลมที่พัดผ่านเข้ามาเลยแสดงว่าลักษณะการจัดสวนหรือชัยภูมิภายนอกบ้านของท่านไม่เอื้ออำนวย และถือได้ว่าบ้านของท่านมีโอกาสมีฮวงจุ้ยที่ไม่ดีสูง จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของท่านและคนในครอบครัว

บทความโดย : Master Tawan Lekhapat
จากเว็บไซต์ : http://www.modernfs.com