วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ฝึกให้เป็นคนคิดเชิงบวก

ฝึกให้เป็นคนคิดเชิงบวก

การเป็นคน ที่คิดในทางบวกอยู่เสมอจะทำให้คุณเป็นคนที่ความสุขในชีวิต การคิดบวกจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้คุณมีพฤติกรรมที่จะตอบสนองต่อบุคคลรอบข้าง ในทางบวกเช่นกัน อย่าลืมว่าการมีทัศนคติที่ดีย่อมจะส่งผลดีต่อการกระทำและผลลัพธ์ที่ออกมา เช่นกัน การปรับตนเองให้มีความคิดทางบวกเพื่อการให้บริการลูกค้าในทางบวกเช่นเดียว กัน มีเทคนิคและแนวทางง่ายๆ ดังต่อไปนี้

เรียนรู้และรับรู้ความรู้สึก และอารมณ์ตนเอง
การรู้ตัวอยู่เสมอว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และกำลังมีความรู้สึกอย่างไร จะทำให้คุณเข้าใจตนเองมากขึ้น และสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้ได้ เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังโกรธอยู่ คุณก็จะสามารถระงับอารมณ์ความโกรธนั้นให้ลดลงและเอาเหตุผลมาไตร่ตรองถึงความ โกรธที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากอะไร แล้วหาวิธีแก้ไขอย่างเหมาะสม

ให้กำลังใจ เพื่อสร้างพลังให้ตนเอง
การได้รับกำลังใจจะทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปสรรคและปัญหาที่ เกิดขึ้นได้ การให้กำลังใจตนเองก็เป็นการสร้างพลังกายพลังใจของคุณให้เข้มแข็ง อาจเริ่มต้นจากการพูดให้กำลังใจตนเอง เช่น ไม่เห็นจะเหนื่อยเลย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง, ก็ยังดีนะ ที่ไม่โดนหนักกว่านี้, เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับทุกคนไม่ต้องกลุ้มใจหรอก การให้กำลังใจตนเองก็เป็นการปรับทัศนคติในแง่บวกเช่นกันเพื่อผลักดันให้คุณ มีพลังในการทำงานต่อไป

หลีกเลี่ยงคำว่า “ ไม่” กับลูกค้า
ผู้ให้บริการที่ดี ไม่ควรปฏิเสธลูกค้า เพราะคำว่าไม่นั้นเป็นการแสดงออกถึงทัศนคติในแง่ลบ การปฏิเสธว่าไม่โดยยังไม่ทันได้วิเคราะห์ถึงปัญหา หรือพิจารณาถึงทางเลือกอื่นว่ามีโอกาสทำได้หรือไม่นั้นไม่ควรเป็นทำอย่าง ยิ่ง ควรหาทางออกอื่นให้ลูกค้าถ้าหากว่าสิ่งที่ลูกค้าขอนั้นไม่สามารถทำให้ได้ตาม ความต้องการ

เข้าใจธรรมชาติที่แตกต่างของลูกค้า
งานบริการเป็นงานที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ามากมายหลายประเภท การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างในเรื่องของ ความต้องการ ความคิด และบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันออกไปจะทำให้คุณไม่แสดงอารมณ์หงุดหงิดหรือแสดง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อลูกค้า
การปรับทัศนคติให้ คิดเชิงบวกอยู่เสมอ นอกจากจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ทำงานด้านการบริการแล้วยังสามารถนำมาปรับใช้ ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย การมีทัศนคติในทางบวกไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าคุณอยากจะให้ลูกค้าทั้งหลายติดใจและต้องการใช้บริการจากคุณอีก อย่าช้า!!เริ่มต้นฝึกให้เป็นคนคิดเชิงบวกเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อโอกาสที่ดีในวันข้างหน้า วันนี้!!คุณคิดบวกแล้วหรือยังคะ
หากคุณอยากจะมีความ สุขทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำงาน คุณควรปรับตนเองก่อนก่อนที่จะปรับเปลี่ยนคนอื่น เพราะผู้ที่มีความคิดดีมักจะเป็นบุคคลที่แสดงออกด้วยน้ำเสียง วาจา สีหน้า แววตา และการกระทำในทางที่ดีต่อลูกค้าที่คุณติดต่อด้วย สิ่งเหล่านี้จะเป็นเสน่ห์ที่คุณสร้างขึ้นมาเพื่อดึงดูดใจลูกค้าของคุณเอง

credit: http://th.jobsdb.com/TH/EN/Resources/JobSeekerArticle/customer_editor18.htm?ID=95

ขจัดความเครียดในการทำงาน…..ด้วยความคิดเชิงบวก


พิมพ์ อีเมล

ขจัดความเครียดในการทำงาน…..ด้วยความคิดเชิงบวก (Positive Thinking) 


          ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร ดิฉันเชื่อว่าคุณเคยประสบปัญหากับภาวะความเครียดในการทำงาน (Job Stress) มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งอาการที่แสดงออกมานั้นก็จะแตกต่างกันไป เช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ มือไม้สั่น เหงื่อออกเสมอ   กินอาหารไม่ได้ ท้องอืด ท้องเสีย เป็นโรคกระเพาะ เป็นต้น บางคนถึงขนาดเรียกภาวะดังกล่าวว่า "โรคเครียด"
         
          คุณเคยค้นหาสาเหตุบ้างไหมว่าความเครียดที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเองนั้น…เกิดจาก อะไร? คุณรู้ไหมว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณมีอาการต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงว่าคุณกำลังเครียดอยู่นั้น ก็คือ ความวิตกกังวล ซึ่งเป็นความคิดของ ตัวคุณเองในด้านลบที่เกิดขึ้น (Negative Thinking) ไม่ว่ากับตัวคุณเอง คนรอบข้าง หรือปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ ตัวคุณ เช่น "ฉันทำงานนั้นไม่ได้", "ฉันไม่ดี", "ทุกอย่างที่เกิดขึ้นฉันผิดเอง", "ฉันมันไม่ฉลาด", "ฉันเป็นคนทำให้งานไม่สำเร็จ" หรือ "หัวหน้างานไม่ดี", "เพื่อนร่วมงานไม่เก่ง" เป็นต้น ซึ่งความคิดด้านลบเหล่านั้นจะทำให้คุณไม่มีพลังใจในการทำงาน คุณรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง จนในที่สุดมันก็จะส่งผลทำให้คุณทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ (คิดอะไร ก็จะได้สิ่งนั้น)

          คุณเคยหาทางแก้ไขปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้นบ้างไหม ดิฉันเชื่อว่าคุณทุกคนคงไม่อยากให้ภาวะความ เครียดเกิดขึ้นกับตัวคุณเองอย่างแน่นอน มีหลายวิธีที่สามารถลดความเครียดลงได้ บางคนหาเวลาไปออกกำลังกาย บางคนนั่งสมาธิ ฝึกโยคะ เต้นแอโรบิค หรือเล่นกีฬาสุดโปรดของคุณ ซึ่งคุณได้พยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อลดความเครียดที่เกิดขึ้น แล้ววิธีการต่าง ๆ เหล่านี้สามารถทำให้คุณสามารถขจัดภาวะความเครียดได้บ้างไหม…. บางคนอาจทำได้ ….แต่บางคนอาจทำไม่ได้

          ดิฉันมีวิธีการหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถขจัดปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้น นั่นก็คือความคิดของตัวคุณเอง….ลองเปลี่ยนความคิดเชิงลบเป็นความคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนการรับรู้ของตัวคุณเองโดยอาจจะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับบางคน แต่ไม่ถึงขนาดว่าทำไม่ได้….ทุกคนทำได้….ฝึกคิดใหม่ ทำใหม่…..ของแบบนี้อาจต้องใช้เวลา… แต่ ไม่นานเกินรอนะคะ
การเปลี่ยนการ รับรู้จากด้านลบเป็นด้านบวกนั้นควรเริ่มที่ตรงไหน……มีเรื่องอะไรบ้าง….. ดิฉันขอสรุปสิ่งที่คุณควรเปลี่ยนความคิดจากด้านลบเป็นด้านบวกด้วย "หลัก 5 Yours" ดังนี้
         
          1.    ตัวคุณเอง (Yourself) ก่อนที่คุณจะมองคนอื่นคุณควรมองตัวคุณเองก่อน ความเคารพในตนเองเป็นการยอมรับในศักยภาพและความสามารถของตัวคุณ คุณทำได้ คุณดี ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น คุณควรจะฝึกพูดกับตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นการย้ำจิตของคุณอยู่ตลอดเวลา….เช่น I am good, I am better, I am best
          2.    หัวหน้างานของคุณ (Your Boss) หัวหน้างานเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่อาจทำให้คุณเกิดภาวะความเครียดได้ หัวหน้างานอาจพูดไม่ดีกับคุณ ต่อว่าคุณเสมอ ตอกย้ำว่าคุณไม่ฉลาด จู้จี้จุกจิก ตามงานทุก 5 นาที โยนงานใส่คุณ คุณเคยเจอเหตุการณ์เหล่านี้บ้างไหม ไม่ต้องใส่ใจนะคะ ถ้าคุณเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ให้คิดเสียว่าหัวหน้างานของคุณอาจเจอปัญหาทางบ้าน มีเรื่องกับภรรยา/สามีที่บ้าน เป็นต้น ดิฉันอยากให้คุณคิดเสมอว่าหัวหน้างานคุณไม่ใช่เจ้าชีวิตคุณ คุณไม่อยู่กับเค้าตลอดเวลาและสักวันหนึ่งคุณหรือหัวหน้างานคุณอาจย้ายสถาน ที่ทำงานไป แล้วทำไมคุณต้องเก็บเอาปัญหาของหัวหน้างานคุณมาเป็นอารมณ์ด้วย
          3.    เพื่อนร่วมงานของคุณ (Your Colleague) คุณคงไม่ทำงานคนเดียว..ใช่ไหมคะ ดังนั้นเพื่อนร่วมงานของคุณก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณเครียดได้ เช่น เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว ไม่ชอบทำงาน เอาแต่ประจบหัวหน้า ชอบนินทาผู้อื่น ชอบดูถูกในความสามารถของคนอื่น ชอบพูดจาให้ร้ายคนอื่นลับหลัง..อะไรทำนองนี้…คุณเคยเจอบ้างไหม ถ้าคุณเจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ดิฉันอยากให้คุณคิดเสมอว่าเค้าไม่ใช่เพื่อน สนิทคุณที่คุณต้องใส่ใจอะไรมากมาย เค้าเป็นเพียงแค่คนคนหนึ่งที่คุณต้องทำงานร่วมด้วย…เท่านั้นเอง…. การเจอเพื่อนร่วมงานแบบนี้ ดิฉันคิดว่าดีเสียอีกชีวิตมีรสชาด มันแปลกดีนะ…คนแบบนี้ก็มีด้วย (คิดด้านบวกไว้นะคะ)
          4.    งานของคุณ (Your Job) ความเครียดที่เกิดจากการทำงานของคุณ…มี 2 รูปแบบ คุณได้รับมอบหมายให้ทำงานง่ายจนเกินไป หรือ คุณได้รับมอบหมายให้ทำงานยากและท้าทายเกินไป ทั้งนี้ทุกคนมีความต้องการและความคาดหวังในการทำงานที่แตกต่างกันไป บางคนชอบทำงานง่าย ๆ แต่บางคนชอบงานที่ท้าทาย ซึ่งดิฉันคิดว่างานสมัยนี้ค่อนข้างหายาก คนบางคนอาจไม่สามารถเลือกงานได้แต่เค้าสามารถเลือกที่จะรักงานที่ทำได้ อย่ามัวแต่คิดว่าเราไม่ชอบ ไม่รักงานนั้น ทั้งนี้งานที่คุณไม่ชอบตอนนี้อาจจะเป็นงานที่คุณถนัดมากและสร้างรายได้ให้ กับตัวคุณเองอย่างมากมายในอนาคต (ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน) ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม ขอให้คิดเสมอว่านั่นเป็นงานที่คุณต้อง รับผิดชอบ จงทำให้มันดีที่สุดเท่าที่ความสามารถของคุณจะทำได้ ควรเอาเวลาไปนั่งคิดหาทางปรับปรุงการทำงานของคุณจะดีกว่า อย่าไปคิดว่า ฉันไม่ชอบ ฉันจะไม่ทำ เพราะมันจะทำให้คุณไม่ใส่ใจที่จะคิดหาทางพัฒนางานของคุณเลย
          5.    ผลตอบแทนของคุณ (Your Compensation) ดิฉันยอมรับว่าเงินเดือนและผลตอบแทนต่าง ๆ ที่คุณได้รับอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณเครียดได้ คุณอาจได้รับเงินเดือนน้อยกว่าเพื่อนร่วมงานของคุณทั้ง ๆ ที่คุณทำงานมากกว่าพวกเค้า ดิฉันอยากให้คุณมองที่สาเหตุก่อน..ว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าเป็นเพราะผลจากการทำงานของคุณ ดิฉันอยากให้คุณพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานของคุณก่อน (แล้วค่อยมาดูต่อไปว่า คุณจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่) แต่ถ้าเป็นเพราะหัวหน้างานของคุณไม่ยุติธรรม บอกตามตรงนะคะ..มันคงแก้ไขยาก….แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง….ดิฉันอยากให้คุณ ตั้งใจทำงาน มุมานะในการทำงานให้สำเร็จ ขยัน อดทน และมีความรับผิดชอบในการทำงานให้มากขึ้น ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้….สักวันหนึ่งหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงานของคุณจะต้องเห็น

          ถ้าไม่มีใครเห็นคุณก็เห็นตัวคุณเองและรู้ตัวเองเสมอว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ (คิดทางด้านบวกไว้นะคะ) ดิฉันไม่อยากให้คุณคิดว่าเงินเดือนได้รับแค่นี้…ก็ทำเท่านี้….การทำงาน มากกว่าที่ได้รับมอบหมายให้เป็นสิ่งที่ดี เป็นการสร้างคุณค่าให้กับตนเอง (Value Added) มันอาจไม่เห็นผล ณ ตอนนี้ แต่ในอนาคตไม่แน่ไม่มีใครบอกได้ และ รับประกันได้ว่า ณ ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าไล่คุณออกอย่างแน่นอนเพราะคุณสามารถทำงานได้มากมาย …ไม่ต้องกลัวตกงานเลย (มีงานทำแน่นอน แต่เงินเดือนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คุณต้องตัดสินใจเอาเอง ลองถามตัวคุณเองก่อนว่าคุณอยากตกงาน..หรือมีงานทำ…"อย่าลืมว่ายุคสมัยนี้งาน เลือกคน มากกว่าคนเลือกงาน" หวังว่าคุณคงมีคำตอบแล้วนะคะ)

          ดังนั้น อย่ามัวแต่โทษตนเองหรือโทษผู้อื่น….เพราะนั่นเป็นความคิดด้านลบ ลองเปลี่ยนมาคิดด้านบวกดู…โดยมองสิ่งต่าง ๆ ในทางที่ดีและไม่ควรเก็บปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาคิด วิตกกังวล (มันผ่านมา เดี๋ยวมันก็ผ่านไป)…..ตัวคุณเองจะเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความเครียด…มิใช่ใคร อื่น….แก้ที่ความคิดของตัวคุณจะดีกว่า เพราะนั่นจะเป็นยารักษาโรคเครียดที่ดีที่สุดและได้ผลมากที่สุด  

ที่มา : อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์

เริ่มต้นคิดบวกจากการฝึกคิดสองด้าน


โดยธรรมชาติแล้วคนเรามีความรู้สึกอยู่ 3 สถานะคือ


  • ความรู้สึกด้านบวก(Positive) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกดีใจ ปลื้มใจ ภูมิใจ เช่น เหตุการณ์ในวันที่เรารับปริญญา เหตุการณ์ในวันที่เราบวช แต่งงาน มีลูกคนแรก ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้มักจะอยู่กับเรานาน นึกทีไรก็จำได้แม่นยำและชัดเจน เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็จำได้ เช่น ถามว่าวันเกิดของเราคือวันที่เท่าไหร่ วันที่ลูกเราคลอด วันที่เราเข้างานที่แรก วันที่เรารับปริญญา ฯลฯ

     
  • ความรู้สึกที่เป็นกลาง(Neutral) ความรู้สึกกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือบุคคลที่เข้ามาในชีวิตเราแต่ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตใจเราทั้งเชิง บวกและเชิงลบ เช่น เราเดินผ่านศูนย์การค้า รถยนต์วิ่งไปมาบนถนน ฝนตกฟ้าร้อง เราเดินไปทานข้าวกลางวัน ฯลฯ เหตุการณ์ในกลุ่มนี้จะอยู่กับเราไม่นาน ไม่กี่วันก็ลืมเลือนไป เพราะมันไม่ถูกบันทึกลงในความจำของเราที่เป็นความจำส่วนลึก

     
  • ความรู้สึกด้านลบ(Negative)  ความ รู้สึกในกลุ่มนี้ เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ สิ่งของหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกเสียใจ เศร้าใจ ทุกข์ เช่น วันที่เราเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล วันที่เราสูญเสียคนที่เรารัก วันที่เราทะเลาะกับหัวหน้าคนเก่าอย่างรุนแรงจนถูกไล่ออกจากงาน ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้จะอยู่กับเรานานมาก และที่สำคัญคือมันจะนึกได้เร็วและมาเร็วมาก และลืมได้ยากมาก บางเรื่องบันทึกติดตัวไปตลอดชีวิต

     

เมื่อชีวิตเราบันทึกสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบ แต่ไม่ค่อยบันทึกสิ่งที่เป็นกลาง ก็เท่ากับว่าเวลามีเหตุการณ์อะไรเข้ามาในชีวิตเรา เราก็จะไปค้นหาว่าเราเคยเจอเคยพบเหตุการณ์นี้มาก่อนหรือไม่ ถ้าเราเคยพบมาก่อนมันก็จะค้นต่อไปอีกว่าเป็นประสบการณ์เชิงบวกหรือเชิงลบ ถ้าสิ่งที่เราบันทึกไว้เป็นเชิงลบ เราก็จะคิดลบกับสิ่งที่เข้ามากระตุ้นเราในขณะนั้นๆ เช่น เราเจอคนมีหนวดเดินเข้ามาคุยกับเรา แว๊บแรกที่เราเห็นเขาสมองเราก็เริ่มกลับไปค้นหาว่าในอดีตเราเคยมีประสบการณ์ เจอคนมีหนวดบ้างหรือไม่ ถ้าส่วนใหญ่คนมีหนวดที่เราเคยเจอเป็นคนไม่ดี แน่นอนว่าความคิดลบของเราเกิดขึ้นมาทันที


ดังนั้น ประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนเป็นคนคิดบวกหรือคิดลบ ถ้าเรามีสิ่งที่เป็นลบและเป็นลบในระดับที่เท่าๆกัน ความคิดลบจะวิ่งเร็วกว่าความคิดบวก เพราะเป็นสิ่งที่คิดง่ายกว่า เป็นสิ่งที่อยู่ตื้นกว่า เป็นสิ่งที่เราดึงมันออกมาใช้บ่อยกว่า


ถ้าใครต้องการที่จะฝึกให้ตัวเองมีความคิดเชิงบวก อันดับแรกควรจะต้องฝึกคิดสองด้านควบคู่กันไปก่อน เช่น วันไหนเจอเหตุการณ์อะไร ขอให้ฝึกคิดทั้งสองด้าน เช่น วันนี้เราเจอหัวหน้าตำหนิ แน่นอนว่าความคิดลบคงจะออกมาก่อน เราอาจจะคิดว่าหัวหน้าไม่ชอบเรา กลั่นแกล้งเรา ฯลฯ แต่ขอให้เราลองพยายามคิดอีกด้านหนึ่งคือด้านบวกด้วย อาจจะคิดว่าเขาตำหนิเราเป็นเพราะเขาหวังดีกับเราอยากให้เราได้ดี เขาตำหนิเราก็เพราะเราผิดจริงๆด้วย ก็ดีจะได้รู้ว่าเราผิดตรงไหน เพราะวันข้างหน้าเราจะได้ระมัดระวังมากขึ้น ฯลฯ


เมื่อคุ้นเคยกับการคิดสองด้านแล้ว ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักให้กับการคิดเชิงบวก และสุดท้ายเราจะสามารถคิดเชิงบวกได้กับทุกสถานการณ์ได้โดยอัตโนมัติครับ
 
 
credit: http://www.peoplevalue.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539104599&Ntype=7

สร้างเนื้อสร้างตัว ผ่านหลายๆทาง





ผม เห็นหลายๆคน มีเป้าหมายชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอิสระ ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จก้าวหน้าของชีวิต หรือครอบครัวที่สมบูรณ์ อย่างนึงที่หลายๆคนไม่ได้พูดถึง คือ จะไปให้ถึงตรงนั้นอย่างไร


อย่างนึงที่หลายๆคนไม่ได้พูดถึง คือ จะไปให้ถึงตรงนั้นอย่างไร
ผมอยากแนะนำหัวข้อที่คนในเว๊ปนี้สนใจ

ว่าจะไปให้ถึงอิสระทางการเงิน ได้อย่างไร

วันนี้ขอเสนอหัวข้อ สร้างเนื้อสร้างตัว ผ่านหลายๆทาง

ต้อง แต่เราเรียนจบมา จากคนบ้านๆ ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทอง คนส่วนใหญ่ก็เพิ่งได้รับรายได้จริงๆ จากการเป็นลูกจ้างเป็นหลักแต่ การเป็นลูกจ้าง
และการเป็นพนักงานนี่แหละ มีน้อยคนมาก ที่จะประสบความสำเร็จในระดับที่เรียกว่ารวยได้ ต้องเป็นระดับ ผู้จัดการขึ้นไป ถึงจะเรียกได้ว่ามีอยู่มีกินในระดับที่ดี และน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะไปถึงระดับบริหาร ซึงน่าจะเรียกได้ว่า มีอันจะกิน
ลองคิดดูว่าเดี๋ยวนี้บ้านหลังละ 5 ล้านบาท ดูจะเป็นเรืองธรรมดาๆ
แต่คนเงินเดือนซัก 6 หมืนบาทนี่ซื้อไม่ได้นะ
คน เงินเดือน 6 หมืนบาทนี่ ผมว่า ถ้าไม่ได้ทำงานบริษัทฝรั่ง ระดับสุงๆหน่อย ก็น่าจะหายากพอดู ดังนั้นอาจจะเป็นอะไรที่ลำบากพอควรก่อนที่จะไปถึงระดับนั้น

แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เป็นลูกจ้างเลยนะ
เพราะลูกจ้างเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในชีวิต ไม่เคยเป็นลูกจ้างเลย เราก็ไม่รู้ว่าพนักงานคนอื่นๆคิดอย่างไร

จะเห็นได้ว่าจากภาพด้านบน คนส่วนใหญ่คงเป็นลูกจ้างอย่างเดียวไม่พอทีจะสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้

ดังนั้น เราต้อง สร้างเนื้อสร้างตัวผ่านหลายๆทาง
นอกจากเป็นลูกจ้างแล้ว เราคงต้องหารายได้อย่างอื่นๆ เข้ามาไม่งั้นเป้าหมายของเราคงไปถึงได้ยาก
ทางเลือกมีมากมายหลายแบบ
1. ทำงานอิสระ เป็น freelance
2. มีกิจการเป็นของตัวเอง
3. ลงทุนในหุ้น
4. ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
5. อย่างอื่นที่ผมไม่ได้คิดถึง

ผม ไม่ได้ใสการลงทุนใน bond เพราะผมคิดว่า bond ไม่ได้ทำให้รวยแต่ทำให้เรารักษาเงินต้นไม่ได้ เงินเฟ้อมันทำลายมูลค่าของเงินที่มีอยู่เท่านั้น ไม่ได้เพิ่มค่าเงินของเราอย่างมีนัยยะสำคัญ

รายได้ทางเดียวไม่พอ เพราะอยู่มันอาจหายไป แล้ว เราจะไม่สามารถกลับตัวได้ เช่นบริษัท lay off พนักงาน
เมื่อ วานพี่คนหนึ่งมา  interview กับผม ทำงานมาแล้ว 3 ปี เป็น super visor แต่ก็โดน lay off เพราะบริษัทขาดทุน ทั้งที่ตัวเองเป็นคนที่ดูแลงานเยอะมากในบริษัท แต่เมือแผนกโดนปิด ก็โดนทั้งแผนก

ดังนั้นเราต้องรู้ว่าเราเหมาะกับอะไร โดยดูตัวเองเป็นหลักว่าเหมาะกับอะไร แต่อย่าพยายามจำกัดตัวเองให้อยู่แค่ สิ่งที่เห็นเฉพาะหน้า รายได้ที่ได้รับอยุ่ แต่คงต้องมองด้วยว่า ตอนนี้ เราคงต้องบริหารความเสี่ยง โดยที่หารายได้หลายๆทางที่มา จาก Thai  Value Investor

credit: http://www.taradfreelance.com/index.php?option=com_content&view=article&id=62&Itemid=84

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สัญญาณ Wi-Fi สามารถมองเห็นทะลุกำแพง


นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยูท่า ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยถึงข้อมูลการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับลักษณะของคลื่นสัญญาณที่ใช้ในเครือข่ายไร้สาย หรือที่รู้จักกันว่าอินเตอร์เน็ตแบบไร้สายนั่นเอง โดยคลื่นสัญญาณเหล่านี้มีความแข็งแรงและสามารถใช้เพื่อการสังเกตความเคลื่อนไหวของคนที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงหรือประตู

โจอี้ วิลสัน (Joey Wilson) และ นีล (Neal Patwari) ได้ใช้การทดลองความแข็งแรงของคลื่นสัญญาณที่เป็นแบบคลื่นวิทยุที่เกิดขึ้นระหว่างจุดรับส่งสัญญาณ wireless สองจุด เพื่อตรวจสอบดูความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ท่าทางการเคลื่อนไหวของคนระหว่างจุดรับส่งสัญญาณสองจุดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางและความแข็งแรงของคลื่นสัญญาณ 

จากนั้นทางนักวิจัยได้เพิ่มจุดรับส่งสัญญาณมากขึ้น ทำให้คลื่นสัญญาณที่อยู่ตรงพื้นที่ว่างระหว่างจุดรับส่งสัญญาณมีคลื่นสัญญาณมากมาย และเมื่อคนมีการเคลื่อนที่ในบริเวณนั้นจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสัญญาณ และสามารถนำเอาการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมาร่างเป็นลักษณะของการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นได้ โดยเทคนิคนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า variance-based radio tomographic imaging

นักวิจัยได้ใช้จุดรับส่งสัญญาณเครือข่ายเป็นจำนวน 34 จุดภายนอกห้องรับแขกของบ้านที่ใช้ทดลองระบบ และพบว่าระบบสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอีกฝั่งของกำแพงห้องในระยะ 3 ฟุตได้ โดยผลการทำงานของระบบขณะนี้จะสามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวได้ว่าเป็นลักษณะใด แต่ในส่วนของการสร้างภาพของการเคลื่อนไหวที่ตรวจสอบได้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา มากไปกว่านั้นนักวิจัยยังต้องการพัฒนาความถูกต้องในการทำงานของระบบในการตรวจสอบความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นโดยการใช้จำนวนจุดรับส่งสัญญาณเครือข่ายไร้สาย หรือตัวอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณในจำนวนที่ลดลง

การพัฒนาเทคโนโลยีนี้มีจุดประสงค์ในการช่วยทางด้านการติดตามและค้นหาเพื่อการช่วยเหลือ ช่วยชีวิตในสถานการณ์ต่างๆ เช่นการค้นหาผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ในซากปรักหักพังของตึกที่เกิดจากแผ่นดินไหวว่าอยู่ตำแหน่งใดบ้าง โดยตัวระบบจะสามารถนำไปติดตั้ง ณ ที่เกิดเหตุได้อย่างง่ายดาย  เนื่องจากอุปกรณ์สามารถย้ายที่ได้โดยง่าย

นักวิจัยยังมีแผนจะติดตั้งระบบ GPS ไปที่ตัวอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ให้สามารถทราบพิกัดที่ทำงานและตำแหน่งต่างๆ

ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตัวระบบจะถูกนำไปติดตั้งไว้ที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการประมวลผล จากนั้นตัวรับส่งสัญญาณจะเริ่มทำงาน อคมพิวเตอร์ก็จะเก็บข้อมูลที่ได้มาประมวลผลเพื่อหาการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น เช่นตำแหน่งของผู้รอดชีวิต

ข้อดีของเทคโนโลยีใหม่นี้สามารถทำงานตรวจสอบการเคลื่อนไหวผ่านสิ่งกั้น อย่างกำแพงได้ ด้วยราคาต้นทุนระบบที่ไม่แพง เพราะอุปกรณ์หลักจะเป็นอุปกรณ์ตัวรับส่งสัญญาณเครือข่ายไร้สายที่มีจำหน่ายทั่วไปในราคาที่ไม่สูง

ที่มา
วารสารออนไลน์ Through-Wall Tracking Using Variance-Based Radio Tomography Networks, Joey Wilson, Neal Patwari, arXiv:0909.5417

โดย
ธนัช

172532

สร้างบรรยากาศในบ้านด้วยกลิ่นหอมผ่อนคลาย

Aroma, น้ำมันหอม, สปา Aroma, น้ำมันหอม, สปา Aroma, น้ำมันหอม, สปา
      กลิ่นหอมๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหอมระเหย เทียนหอม ธูปหอม เกลือสปา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างสรรค์บรรยากาศ ให้บ้านน่าอยู่และผู้อยู่อาศัยในบ้านรู้สึกผ่อนคลาย ด้วยการรับรู้ทางสัมผัส ซึ่งแต่ละกลิ่นนั้นช่วยส่งผลจิตใจ และสุขภาพของคนในบ้านในลักษณะที่แตกต่างกัน มาดูกันซิว่ากลิ่นหอมๆแบบไหน ที่เหมาะกับการสร้างบรรยากาศในบ้านของคุณ

              กลิ่นคาโมไมล์ ช่วยผ่อนคลายและทำให้หลับสบาย
             กลิ่นกำยาน ให้ความรู้สึกที่เย็นสบาย ผ่อนคลาย
             กลิ่นดอกมะลิ ช่วยบรรเทาอาการกล้ามเนื้อตึงเครียด
             กลิ่นสน ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและให้ผลดีต่อระบบทางเดินหายใจ
             กลิ่นทรีที ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ และช่วยให้มีทัศนคติในเชิงบวก
             กลิ่นกุหลาบ ช่วยผ่อนคลายความเครียดและเพิ่มความเชื่อมั่น
             กลิ่นกระดังงา ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
             กลิ่นส้ม ช่วยให้จิตใจเบิกบาน สดชื่น
             กลิ่นมะนาว ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า
             กลิ่นมะกรูด ช่วยให้จิตใจร่าเริง สดชื่น ชื่นบาน ฯลฯ

       การสร้างกลิ่นหอมๆ ให้เกิดขึ้นภายในบ้าน เป็นวิธีง่ายๆ อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศให้บ้านคุณ ขึ้นอยู่กับเจ้าบ้านอย่างคุณแล้วล่ะค่ะ ว่าจะสร้างบรรยากาศของบ้านให้เป็นแบบใด

credit: http://www.phuketbulletin.co.th/Property/view.php?id=90

รู้หรือไม่ เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟกี่วัตต์




ัตต์หรือแรงเทียนคือพลังไฟฟ้าหรือกำลังไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีวัตต์มากก็กินไฟมากกว่า
ที่มีวัตต์น้อย (ในเวลาเท่ากัน)
1 กิโลวัตต์ คือ 1,000 วัตต์
1 หน่วย หรือ 1 ยูนิต หรือ 1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง คือพลังงานไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้า
ขนาด 1,000 วัตต์ เปิดนาน 1 ชั่วโมง
ตัวอย่าง : หลอดไฟหลอดละ 100 วัตต์ จำนวน 10 หลอด
รวม 100 x 10 = 1,000 วัตต์
ถ้าเปิดนาน 2 ชั่วโมง ทั้ง 10 หลอด จะเปลืองไฟฟ้า
รวม = 1,000 วัตต์ x 2 ชั่วโมง = 2,000 วัตต์-ชั่วโมง
หรือ = 2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง หรือ = 2 หน่วย หรือ 2 ยูนิต


เครื่องใช้ของท่านกินไฟประมาณกี่วัตต์
พัดลมตั้งพื้น 45-75 วัตต์ ตู้เย็น 2-12 คิว (ลบ.ฟุต) 53-194 วัตต์
พัดลมเพดาน 70-104 วัตต์ เครื่องปรับอากาศ 680-3,300 วัตต์
หม้อหุงข้าวไฟฟ้า 500-1,000 วัตต์ เครื่องดูดฝุ่น 625-1,000 วัตต์
เตารีดไฟฟ้า 430-1,600 วัตต์ เตาไฟฟ้า (เดี่ยว) 300-1,500 วัตต์
เครื่องทำน้ำร้อนในห้องน้ำ 900-4,800 วัตต์ โทรทัศน์ ขาว-ดำ 24-30 วัตต์
เครื่องปิ้งขนมปัง 600-1,000 วัตต์ โทรทัศน์สี 43-95 วัตต์
เครื่องเป่าผม 300-1,300 วัตต์ วีดีโอ 30-50 วัตต์
เครื่องซักผ้า 250-2,000 วัตต์ เครื่องอบผ้าแห้ง 650-2,500 วัตต์
เครื่องซักผ้าแบบมีเครื่องอบผ้า หรือ เครื่องตั้งอุณหภูมิของน้ำ 250-2,000 วัตต์
อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้าและสายไฟชำรุดไฟรั่ว จะสิ้นเปลืองเปล่าประโยชน์ และอาจมีอันตรายถึงชีวิต
แหล่งข้อมูล www.pea.co.th

 credit: http://www.pearangsit.com/index.php?mo=3&art=136309

กลิ่นหอมภายในบ้าน



 คุณ ทราบหรือไม่ว่ากลิ่นหอม (fragrance) ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมนำมาใช้บำบัดความเครียด ความอ่อนล้าของร่างกายจากการทำงาน ที่รู้จักหรือเรียกกันว่า Aromatherapy นั้น ก็ส่วนหนึ่งของการตกแต่งบ้านมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตัวอย่างเช่น การจุดกำยานของจีน , อินเดียมีการใช้เครื่องหอมในห้องนอน , หรือการนำดอกไม้หอมไม่ว่าจะเป็นดอกมะลิ ดอกจำปีจำปา มาร้อยประดับตกแต่งภายในบ้านของคนไทยสมัยโบราณ จากการศึกษาเรื่องกลิ่น คนเราจะใช้เวลาเพียง 2 วินาทีในการรับรู้กลิ่นผ่านทางจมูก เดินทางไปยังสมอง รับรู้และตอบสนองต่อกลิ่นนั้น ๆ เช่น กลิ่นหอมของดอกมะลิยามเช้าจะทำให้รู้สึกสดชื่น ในขณะที่กลิ่นอาหารเช้าทำให้เกิดความรู้สึกหิว มีการศึกษาเรื่องของกลิ่นสัมพันธ์กับอารมณ์ การรับรู้ทำให้เกิดผลกับความรู้สึกของร่างกายมนุษย์ แต่ละกลิ่นจะให้ความรู้สึกแตกต่างกัน 
 
บางกลิ่น ให้ความรู้สึกสงบ มีสมาธิ เช่นธูปจึงนิยมใช้ในพิธีทางศาสนา บางกลิ่นช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับสบาย บางกลิ่นให้ความรู้สึกสดชื่น ช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉง สามารถทำงานได้ดีและต่อเนื่อง
 

ปัจจุบันจึงมีการศึกษาเรื่องกลิ่นและนำมาใช้ภายในบ้านช่วยส่งเสริมให้ผู้อาศัยมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ
เรา ควรจะดูแลจัดบ้านให้เรียบร้อย หมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ ถ้ามีเวลาก็เพิ่มการตกแต่งให้เกิดบรรยากาศอบอุ่น และเป็นกันเอง ถ้าเพิ่มกลิ่นที่หอมสะอาดก็จะทำให้ผู้อยู่ในบ้านรู้สึกสดชื่น ยิ่งถ้าคุณมีแขกมาที่บ้าน บรรยากาศภายในบ้านก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความประทับใจ
ดอกไม้หรือ ต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม สิ่งที่หาได้ง่ายที่สุดและเป็นธรรมชาติ คือการตัดดอกไม้สดที่มีกลิ่นหอมจากสวนคุณเอง ไม่ว่าจะเป็น ดอกแก้ว กุหลาบ ปีบ พุดซ้อน มะลิ มาปักแจกัน หรือใส่ถาดลอยน้ำ เท่านี้ห้องของคุณก็จะดูสดชื่น พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกไม้สด ไม่ยากเลยใช่ไหมค่ะ
 

เทียน หอม เป็นที่นิยมและสามารถหาได้ทั่วไป เมื่อจุดให้แสงอ่อน ๆ และกลิ่นหอมทั่วห้อง มี 2 แบบคือ แบบมีกลิ่นหอมอยู่ในตัว และแบบสเปร์หรือหยดน้ำมันหอม สามารถเลือกกลิ่นที่คุณชอบได้ ให้กลิ่นประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง เปลือกมะนาวหรือมะกรูด เปลือกทั้ง 2 ชนิดจะทำหน้าที่ใกล้เคียงกันคือ ดูดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์และให้กลิ่นหอมอ่อนสดชื่น เพียงคุณหาถ้วยหรือภาชนะประเภทพานใบย่อม ใส่เปลือกมะกรูดที่คั้นน้ำแล้ว 3 - 4 ชิ้น นำไปวางบริเวณที่อากาศไม่ค่อยถ่ายเท จะช่วยดูดกลิ่นอับชื้น เหมาะสำหรับห้องครัว (จะมีกลิ่นจากการประกอบอาหาร กำจัดยาก) และห้องน้ำ ให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ
ถ้าพิจารณาดูดี ๆ ไทยเราก็มี วัฒนธรรมเกี่ยวกับเครื่องหอมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็น มาลัยดอกมะลิสด หรือน้ำอบที่มีกลิ่นหอมดอกไม้จาง ๆใช้ประพรมในงาน การนำเครื่องหอมมาใช้จึงไม่ใช่ของใหม่เสียทีเดียว และในปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์เครื่องหอมต่าง ๆ มาให้เลือกใช้มากมาย ตอนต่อไปจะพูดถึงการใช้กลิ่นหอมสำหรับห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน

 

ปัจจุบัน ได้มีการผลิตน้ำหอมที่ใช้ภายในบ้าน สำหรับห้องต่างๆ ง่ายและสะดวกสำหรับบุคคลที่ไม่มีแม่บ้าน หรือต้องการความเร่งรีบในแต่ละวัน ซึ่งกลิ่นแต่ละกลิ่นก็มีให้เราได้เลือกหลากหลายมากมายทีเดียว
     
แต่งแต้มอารมณ์ของคุณด้วยสเปรย์น้ำหอมปรับอากาศ สำหรับห้องต่างๆ ในบ้านคุณ 
ห้องน้ำ:( Bath room)
417 146 Hyncinth & Lily
ให้ ความรู้สึกสดใสร่าเริงกับห้องน้ำของคุณด้วยกลิ่นดอกไม้ จากการผสมผสานกัน ระหว่างพันธุ์ไม้ตระกูล Hyacinth และลิลลี่ตระกูล Cyclamen ร่วมกับกลิ่นไลม์ และมะนาวให้ความรู้สึกสดชื่นและช่วยลดกลิ่นน้ำยาฆ่าเชิ้อในห้องน้ำได้
 

ห้องทำงาน:( Study room)
417 147 Mint & Jasmin
เปอเปอร์ มินท์เป็นน้ำมันหอมระเหยจากพืชพรรณธรรมชาติ เหมาะสำหรับการเรียนหรือการทำงาน เปอเปอร์มินท์จะช่วยกระตุ้นสมองคุณและช่วยทำให้สมองคุณปลอดโปร่ง อีกทั้งกลิ่นมะลิที่จะช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้น
 

ห้องครัว:( Kitchen room)
417 148 Citrus & Spice
ไอร้อนจากการทำอาหารทำให้เกิดกลิ่น คุณ
แก้ไข โดยกลิ่นแนว citrus และ spicy กลิ่นส้มแมนดารินและมะนาวช่วยสร้างบรรยากาศให้สดชื่น กลิ่นอบเชยและโป๊ยกั๊กช่วยสร้างบรรยากาศให้รื่นเริงขึ้น

  

ห้องนอน:( Bed room)
417 149 Lavender & Rose
ห้อง นอนเป็นที่พักผ่อนหลังจากการทำงานหนักมาตลอดวัน กลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยทำจิตใจคุณให้สงบ ช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจของคุณ กลิ่นกุหลาบช่วยประสานร่างกายและอารมณ์คุณให้มั่นคงยิ่งขึ้น ทำให้การการนอนเป็นการพักผ่อนที่ดีเยี่ยมตลอดทั้งคืน

  
ห้องนั่งเล่น:( Living room)
417 150 Lily of the Valley & Citrus
ให้ ความร่าเริงกับห้องนั่งเล่นของคุณโดยละอองจาก Lily of the valley และแนวกลิ่น citrus จากมะนาวและมะกรูด มะกรูดมีคุณสมบัติช่วยให้จิตใจคุณสงบ ทั้งเรื่องความกังวลและความตึงเครียดจากงาน คุณจะพบกลิ่นไอที่ผ่อนคลายและหายกังวล 



credit : http://iam.hunsa.com/purevodka/article/22283

5 วิธีเติมกลิ่นหอมให้บ้าน

แทน ที่จะต้องฉีดสเปรย์หอมปรับอากาศที่มีส่วนผสมของสารเคมีเป็นประจำ ลองเลือกวิธีธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้หรือหลายๆ วิธีพร้อมกันเพื่อทำให้บ้านของคุณมีกลิ่นหอมชื่นใจ
  1. ปลูกต้นไม้ในบ้าน เลือกต้นไม้หรือสมุนไพรที่คุณชอบมาปลูกในครัว ในห้องนั่งเล่น และห้องน้ำ ต้นไม้จะช่วยลดมลพิษทางอากาศภายในบ้าน และทำให้มีอากาศไหลเวียนในบ้านอยู่เสมอ
  2. ใช้ประโยชน์จากเปลือกส้มและมะนาว น้ำมันจากเปลือกส้มและมะนาวให้กลิ่นหอมชื่นใจและช่วยดับกลิ่นต่างๆ ใช้ใส่ในถังขยะเพื่อดับกลิ่น หรือต้มน้ำแล้วใส่เปลือกส้มและมะนาวลงไปเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมสดชื่นในครัวก็ ได้
  3. ผสมน้ำมันหอมระเหยกับน้ำ คุณสามารถใช้ส่าวนผสมนี้ฉีดตามเฟอร์นิเจอร์ พรม เพื่อให้ห้องมีกลิ่นหอมตามต้องการ โดยคุณสามารถใช้กลิ่นหอมกลิ่นหนึ่งสำหรับห้องหนึ่ง และอีกกลิ่นสำหรับอีกห้องก็ได้ เช่น ลาเวนเดอร์สำหรับห้องนอน แซนดัลวู้ดสำหรับห้องพักผ่อน และเปปเปอร์มินต์สำหรับห้องน้ำ
  4. วางชามน้ำส้มสายชูเอาไว้ตามมุมห้อง น้ำส้มสายชูจะดูกกลิ่นแรงๆ ต่างๆ และทำให้กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ จางลง
  5. จุดเทียนหอมแทนเทียนธรรมดา มันจะช่วยเติมกลิ่นหอมอบอวลในบ้านได้อีกทางหนึ่ง

credit: http://www.lisaguru.com/sexlovemoney/

วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สเปคก็เยอะทำไมเครื่องช้าไวรัสก็ไม่มี

1.เครื่องจะเร็ว ไม่เร็ว เกินครึ่ง ที่เป็นเพราะคนใช้ ถ้าคนใช้เป็น คอมสเป็คไหนก้เร็วได้
2.ชอบไปหาโหลดโปรแกรม นู้น นี้ นั้น มา ลง-ลง  ลบ-ลบ  แบบลองไปเรื่อยหรือไม่
3. ระวังโทรศัพท์มือถือให้ดี ไวรัส ตัวร้ายๆทั้งนั้น ถ้าเครื่องติดไวรัส ให้สเป็คไหนก้ไม่เหลือ
4. เคยมั้ยที่จะทำการ Empty Recycle Bin
5. เคยมั้ยที่จะทำการถ่ายน้ำมันเครื่อง ( เอ้ยไม่เกี่ยว )  ที่จะทำการ Disk Defragment ผมแนะนำโปรแกรมช่วยทำ Disk Defragment  ตัวนี้ดูครับ ( เป็นฟรีแวร์ นะ ไม่ผิดกฏ ) โหลดเลยท่าน ช่วยได้มาก มันดีกว่าตัว Disk Defragment ของ วินโดว์ เป็นกองๆ ( โปรแกรมไรที่ติดมากับวินโด้ส่วนมากมันจะมีความสามารถน้อย อย่างเช่น IE ....หุหุ )

นี่ตัวล่าสุด   http://majorgeeks.com/Auslogics_Disk_Defrag_d5266.html

หรือ   http://www.tucows.com/preview/505489  ทำบ่อยๆ ซักเดือนละ 2 - 4 ครั้ง ( แต่อย่าบ่อยมากเกินไป )

6. สเป็คท่านที่ว่าสูงมันมีอะไรบ้าง ตัวฮาร์ดแวร์ ที่มใส่ๆเข้าไปมัน รองรับ ซัปพอร์ท กันดีแค่ไหน หรือว่าเห็นชิ้นไหนสวย ก็ จับๆเอามาใส่กันเอง

7. ตัวฮาร์ดแวร์มันมีปัญหาเรื่องความร้อนสูงหรือไม่ เคสร้อนเกินไปมั้ย อุณหภูมิ CPU เท่าไหร่ ต่างกันมากมั้ยระหว่างทำงาน กับ ไม่ทำงาน

8. ชอบใช้เครื่องแบบดุดุ หรือเปล่า ประเภท ออนเอ็ม 2-3 หน้าต่าง + เล่นเกมส์ออนไลน์ไปด้วย + โหลดบิท อิก ผมเห็นมาเย้อครับพวกชอบ ทรมาน ฮาร์ดแวร์เนี่ย เห็นแล้วสงสารเครื่องเลย

9. ไดร์ฟ C เหลือพื้นที่เท่าไหร่ เคยเช็คดูบ้างมั้ย โหลดอะไรมาเก็บไว้ มากมายหรือเปล่า แล้วตรงหน้า Desktop เนี่ย ท่านได้ทำ สุสาน ( Folder ) ไว้เป็นที่ เก็บรูป เก็บหนัง เก็บเพลง อะไรอิลุงตุงนังหรือเปล่า อันนี้มีส่วนมากตอนเปิดเครื่อง กว่าจะรันได้จนเม้าส์หยุดหมุน อ่ะ นาน มากๆ ( อันนี้ผมเห็นเด็กๆที่เพิ่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นชอบทำกัน เพราะมันหาง่ายกว่าการเอาไปเก็บที่ไดร์ฟอื่น )

10. ครั้งสุดท้ายที่ลงวินโด้มัน นาน มากหรือยัง ถ้าเล่นบ่อย หรือ ทุกวัน + วินโด้ว์เก๊ ได้ซัก 6 เดือนก็เริ่ม ด๊อง แล้วครับท่าน

11. ถ้าทำตามขั้นต้นมาทั้งหมดแล้วยังไม่ไดีขึ้น ก้เป็นไปได้ 2 สาเหตุ

- ติดไวรัส จำพวก สไปแวร์ ที่โปรแกรมสแกนไวรัสเราไม่รู้จักหรือลบไม่เป็น หาไม่เจอ ลองเปิก Task manager ขึ้นมาดูบ้างมั้ย ดูว่ามีตัวอะไรมันรันอยู่บ้าง ดูซีพียูซิมันทำงานกี่เปอร์เซ็นต์ถ้าปล่อยเครื่องไว้เฉยๆ
- วินโดว์  วินโดว์ ไม่สมบูรณ์ อันนี้เป็นกันง่ายๆ ตอนลงหัวอ่านไม่ดี เครื่องสกปรก แผ่นเป็นรอย หรือ เขียนแผ่นมาไม่ดี ใช้ไปใช้ไป มันก็เจ้๊ง

credit: http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=69799fbd7caaa1e6

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จัดสวนกับฮวงจุ้ย



จัดสวน ฮวงจุ้ย
การจัดฮวงจุ้ยในเชิงชัยภูมิให้ส่งเสริมกับตัวบ้านของเรานั้น มีทั้งส่วนที่เราควบคุมไม่ได้นั่นก็คือชัยภูมิภายนอก เช่น ลักษณะของบ้าน, สำนักงาน หรือ โรงงานข้างเคียง เสาไฟฟ้า, หม้อแปลงไฟฟ้า, ต้นไม้ ของราชการ ซึ่งเราคงไม่สามารถไปปรับเปลี่ยนชัยภูมิดังกล่าวได้ หากมีลักษณะที่ไม่เหมาะสมกับบ้านของเรา อย่างไรก็ตามในชัยภูมิภายนอกบ้านอีกอย่างที่เราสามารถควบคุมได้เองคือการจัดสวนในบริเวณที่ดินของเรา
เนื่องจากการจัดฮวงจุ้ยในเชิงชัยภูมิที่ดีนั้นต้องประกอบด้วยหลักการใหญ่ๆ 3 ข้อ ได้แก่
1. การหาจุดจ่ายกระแสพลังงาน หรือการหาว่าหน้าประตูบ้านบานหลักของเราสามารถรับกระแสพลังจากลมธรรมชาติได้หรือไม่ หากไม่ได้ ก็ให้พิจารณาว่ามีจุดจ่ายกระแสจากการจราจรของยานพาหนะหรือผู้คนหรือไม่ และสุดท้ายหากเราไม่สามารถหาจุดจ่ายกระแสพลังงานจากสองแหล่งดังกล่าวได้ ให้เราพิจารณาถึงการสร้างจุดจ่ายกระแสเทียมได้แก่ การขุดบ่อปลา, บ่อน้ำพุ, ตั้งโอ่งน้ำล้น หรือ ติดพัดลม ฯลฯ
2. การดักกระแสพลังงาน หรือการจัดให้ชัยภูมิมีความสามารถในการดักกระแสลมธรรมชาติ ให้พัดผ่านเข้ามีที่หน้าประตูบ้านได้ เพราะแม้ว่าบ้านเราจะมีกระแสลมธรรมชาตพัดผ่านมา แต่หากเราไม่มีชัยภูมิที่สามารถดักกระแสได้ ก็เท่ากับว่าเราเห็นโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ไม่สามารถฉกฉวยหรือไขว่คว้าโอกาสนั้นๆได้
3. การกักเก็บกระแสพลังงาน หรือการจัดชัยภูมิให้สามารถสะสมพลังงานที่บ้านเราได้รับมาได้ หากเราสามารถกักเก็บพลังงานไว้บริเวณหน้าประตูบ้านเราได้มากเท่าไร โอกาสที่พลังงานจะเข้ามาสู่ภายในบ้านของเรายิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ลานโล่งบริเวณประตูหน้าหรือบ่อน้ำบริเวณประตูหน้าบ้านหากอยู่ในตำแหน่งที่ดี ถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยในการกักเก็บพลังงานได้ดี
จากหลักการข้างต้นทำให้สามารถสรุปภาพของการจัดชัยภูมิสวนของเราได้ดังต่อไปนี้ครับ โดยบริเวณหน้าประตูบ้านของเราหากต้องมีสวนขอให้จัดให้มีระดับที่เทลาดเข้าจากเขตรั้วมาถึงหน้าประตูบ้าน เนื่องจากกระแสอากาสนั้นถือว่าเป็นสสารชนิดหนึ่ง ซึ่งตัวของมันมีมวลหรือน้ำหนักและจะถูกดึงโดยแรงดึงดูดของโลกให้ลงสู่จุดที่ต่ำลงเสมอ โดยระดับที่สูงกว่าของพื้นสวนทางด้านรั้วบ้านนั้นสูงกว่าสัก 2-3 นิ้ว ถือว่ากำลังดีแล้ว เพราะหากสูงมากจนขึ้นมาบังระดับวงกบล่างของประตู (หรือธรณีประตูถ้ามี) จะถือว่าไม่ดี หากเราต้องการทดสอบคร่าวๆก็สามารถทำได้โดยการลองรดน้ำบริเวณสวนของเรา หากน้ำค่อยๆวิ่งไหลมาบริเวณปากประตูบ้านนั้นถือว่าเป็นระดับการเทลาดที่ดี สำหรับวางระบบการป้องกันน้ำไลเข้าภายในบ้านขอให้ท่านปรึกษา ”ภูมิสถาปนิก” หรือ ”นักจัดสวน” เพราะไม่เป็นเรื่องยากในการป้องกันอยู่แล้ว
หากท่านได้รับการแนะนำจาก "ซินแสมืออาชีพ" และสามารถคำนวณได้ว่าทิศทางด้านหน้าประตูของท่านเป็นทิศที่ได้รับโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองในยุคที่ 8 ตามระบบของการคำนวณฮวงจุ้ยในระบบดาวเหิน (ดาว 9 ยุค, เสวียนคง หรือ เฮี่ยงคง) การมีบ่อน้ำพุ, บ่อปลา, หรือโอ่งน้ำล้น ในบริเวณสวนหน้าประตูบ้านนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากเนื่องจากจะช่วยสร้างความเคลื่อนไหวและก่อให้เกิดพลังงานที่กระตุ้นพลังงานแห่งโชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง อย่างไรก็ตามหากท่านไม่ได้รับการคำนวณพลังงานอย่างละเอียด ผมไม่แนะนำให้มีการทำบ่อน้ำพุ, บ่อปลา, โอ่งน้ำล้น หรือ สิ่งเคลื่อนไหวอื่นๆ เพราะอาจจะเป็นการไปกระตุ้นพลังงานไม่ดีประจำยุคได้ครับ ซึ่งจะทำให้ท่านไม่ได้รับความเจริญรุ่งเรืองตลอดยุค 8 (พศ.2547-2567)
ส่วนการจัดสวนในด้านอื่นๆให้ทำเช่นเดียวกันกับด้านหน้าประตูบ้าน คือให้มีการเทลาดกลับมาที่ฝั่งตัวบ้าน โดยให้สวนฝั่งที่ติดรั้วสูงกว่าฝั่งตัวบ้านได้ตามที่เราต้องการ หากคิดภาพไม่ออกให้ลองดูที่อุ้งมือของเราเหมือนกับเราสร้างบ้านอยู่กลางอุ้งมือ จะทำให้กระแสพลังวิ่งหลากมาได้ดีที่สุด เพราะบ้านเราถือว่าเป็นจุดที่ต่ำสุดของอุ้งมือนั่นเอง แต่ต้องอย่าลืมว่าเฉพาะด้านหน้าประตูบ้านเราจะไม่พยายามให้สวนด้านรั้วบ้านสูงกว่าหน้าประตูบานมากเกินไปครับ สำหรับบางท่านที่ต้องการจัดสวนหินนั้น ขอให้ใช้หินชนิดที่ขนาดเล็กและละเอียด เนื่องจากจะสามารถเกลี่ยระดับได้ดีไม่ทำให้การไหลเวียนของกระแสอากาศติดขัด กลับกันหากเราใช้หินขนิดที่ขนาดใหญ่และหยาบจะทำให้เกลี่ยระดับได้ยากทำให้การไหลเวียนของกระแสอากาศติดขัด
สำหรับการปลูกต้นไม้ ให้ทำการปลูกบริเวณสวนด้านข้างหรือสวนด้านหลังบ้านเป็นหลัก เพื่อให้ไม่กีดขวางกระแสพลังที่จะพัดผ่านเข้ามาที่ประตูหน้าบ้าน โดยหากมีความจำเป็นต้องปลูกต้นไม้หน้าบ้านจริงๆ ให้พยายามอย่าขวางประตูหน้าบ้านจะดีที่สุด และไม่ควรเป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่หรือรกมาก เนื่องจากจะกีดกันกระแสพลังงานไม่ให้เข้ามาที่ประตูบ้านเราได้
จัดสวน
สวนบริเวณหน้าบ้านที่ดีต้องโล่งและโปร่ง (ภาพนี้ยังมีข้อเสียที่ทำระดับเทลาดออกจากหน้าบ้าน)

จัดสวน 
สวนที่ไม่ดีเพราะบังประตูหน้าของบ้านและมีระดับที่เทลาดออกมาก

ฮวงจุ้ย
สำหรับด้านหลังหรือด้านข้างของบ้านสามารถปลูกต้นไม้ทึบได้ตามต้องการ

สุดท้ายนี้เพื่อความง่ายในการวัดผลของการจัดสวนบริเวณบ้านของท่านทุกๆท่านสามารถทดสอบด้วยตัวเองได้ โดยการยืนที่หน้าประตูบ้าน หากรู้สึกถึงลมทีพัดผ่านเข้ามาที่ปากประตูบ้านของท่านได้ดี ให้ถือว่ามีโอกาสที่บ้านของท่านจะมีฮวงจุ้ยที่ดีได้เกินครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ถ้าบ้านใดที่ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงกระแสลมที่พัดผ่านเข้ามาเลยแสดงว่าลักษณะการจัดสวนหรือชัยภูมิภายนอกบ้านของท่านไม่เอื้ออำนวย และถือได้ว่าบ้านของท่านมีโอกาสมีฮวงจุ้ยที่ไม่ดีสูง จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของท่านและคนในครอบครัว

บทความโดย : Master Tawan Lekhapat
จากเว็บไซต์ : http://www.modernfs.com

แำก้ไขปัญหา buffer ของ youtube

สำหรับ firefox และ google chrome ลองใช้ตัวนี้ดูครับ

SmartVideo For YouTube (MyTube) - Version: 0.92





วิธีการปลูกมะพร้าว


                 ขั้นตอนที่1  ควรปลูกตอนฤดูฝน
                 ขั้นตอนที่2  ขุดดินบนหลุมปลูกที่เตรียมไว้  ให้เป็นหลุมเล็กๆ ขนาดเท่าผลมะพร้าว 
                 ขั้นตอนที่3  เอาหน่อที่คัดเลือกแล้วมาตัดรากที่หักช้ำออก  ใช้ปูนขาวหรือยากันราทาตรงรอยตัดวางหน่อลงในหลุม  ให้หน่อตั้งตรง  ตัดหน่อไปในทิศทางเดียวกัน 
                 ขั้นตอนที่4  เอาดินกลบอย่างน้อย 2/3 ของผล เพื่อให้พอดีมิดผลมะพร้าว  แต่ระวังอย่าให้ดินทับโคนหน่อ  เพราะจะทำให้หน่อถูกรัด  ต้นจะโตช้า แต่เมื่อมะพร้าวโตขึ้นก็ควรจะกลบดินให้สุงขึ้น เพื่อป้องกันโคนลอย
                 ขั้นตอนที่5  เอาไม้ปักเป็นหลักผูกยึดกับต้นให้แน่น  เพื่อป้องกันลมโยก เหยียบดินรอบโคนหน่อให้แน่น
                 ขั้นตอนที่6  ควรทำร่มให้ในระยะแรก  เพื่อลดอัตราการตายเนื่องจากถูกแดดจัดเกินไป
                 ขั้นตอนที่7  ในบริเวณที่ปลูกถ้ามีสัตวืเลี้ยง  ให้ทำรั้วป้องกันสัตว์มาทำลาย
                                                      02.jpg
                   แหล่งข้อมูล  หนังสือปลูกผักไทย

iphone pro (iphone5)

อ้างอิง : http://news.siamphone.com/news-02559.html 

 

Iphone 5 มาในชื่อใหม่ และมาในคุณสมบัติที่ดีกว่ามาก ในชื่อ IPHONE PRO !!!! 

iphone 4 ยังพัฒนาไม่ดี iphone 5 เต็มประสิทธิภาพ ก็ตรงตามชื่อใหม่ที่มันได้รับ Iphone Pro !! 

ใครที่ซื้อ iphone 4 แล้ว เตรียมเครียด !!!! Gen 4 out !!!! iphone 4นั้นถูกส่งตัวมาให้ดูเล่นๆ 

ไม่ให้ดูน่าแปลกใจเกิน สำหรับ ความสามารถ รูปลักษณ์ ที่สวยงาม 

iphone 5 นั้นเริ่มคิดค้น ก่อน iphone 4 แต่ iphone 4 ปล่อยออกมาให้ คนเสียตังค์เล่นก่อน 

หรือที่เรียก ว่า เสียรู้ !! เพราะ iphone 5 จะมาในแบบ PRO แบบตัวจริง 

iphone 4 นั้น เป็นเพียงรุ่น ปิดท้าย หลังจากที่มี iphone 2g 3g 3gs และ ............ !! 

Gen 4 รุ่น 4 ปิดกั้นระหว่างรอยต่อความเจริญ ความก้าวหน้า ของเทคโนโลยี อนาคต !!!!!! 



1.iOS 5.0 
◦รองรับ HDR Video 
◦Multi-Tasking ที่ใช้งานง่ายกว่าเดิม 
◦Facetime ที่สามารถคุยกันได้คราวเดียวมากถึง 5 คน 
◦Facetime ที่ใช้ได้กับ Mac OS X 10.6+, Windows 7+, iOS 4.0+,Android 2.2+, Web OS 2.0+, BlackBerry OS 6+ (+ คืออนาคตน่าจะมีการอัพเดทและจะรองรับตัวนั้นด้วย) 

2.การแสดงผลความละเอียดหน้าจอ 
◦iPhone 3Gs – 320×480 pixels 
◦iPhone 4 – 960×640 pixels 
◦iPhone 5 – 1156×768 pixels 

3.ประมวลผลความเร็ว 
◦ใช้ Apple A5 Chip 
◦ใช้ ARM Cortex A9 Dual Core Processors 1.2GHz 
◦nVidia Custom Graphics 
◦รองรับ 1080p Full HD Video 
◦แสดงภาพกับอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น TV ความละเอียดได้ถึง 1920×1200 

4.กล้อง 
◦iPhone 3Gs – 3.2MP, tab to Focus, Video Recording 
◦iPhone 4 – 5MP, 720p HD Video,tab to Focus, กล้องด้านหน้า VGA 
◦iPhone 5 
■8.1MP พร้อม Sensor ใหญ่ขึ้น 
■Triple LED Flash 
■Higher ISO 
■1080p FHD Video 
■8x digital Zoom 
■กล้องหน้า 1.2MP 720p 

5.การเชื่อมต่อ 
◦รองรับ 4G (ตอนนั้นบ้านเราจะได้ใช้ 3G หรือยัง??..) 
◦รองรับ EDGE, GSM, CDMA, EvDo, HSDPA, HSUPA, HSPA+, WiMAx, LTE 
◦รองรับ Bluetooth 3.1 
◦GPS 

6.ระบบเสียง 
◦ระบบบันทึกเสียง Stereo 
◦Dual Stereo Speakers 
◦เสียงระบบ 5.1 Surround 

7.อื่นๆ 
◦แสดงผลแบบ IPS LED Backlit 
◦หน้าจอกว้าง 4″ Multi-Touch Capacitive 
◦ปรับ Contrast ได้อัตราส่วน 1000:1 
◦เพิ่มความสว่างจากเดิม 2 เท่า 
◦Triple Microphones 

8.ราคา 
◦32GB – $599 
◦64GB – $699 (ราวๆ 25000-26000) << มีความน่าจะเป็นที่ราคา จะ ต่ำกว่านั้น

iphone 5 มาแล้ว iPhone 5 เจ๋งกว่าเดิม





กลายเป็นโทรศัพท์ที่ตกเป็น talk of the town มาอย่างต่อเนื่อง สำหรับ iPhone จากแอปเปิ้ลที่เพิ่งจะมีกระแสว่าผู้ใช้ iPhone 4 ต้องออกมาโวยทั้งเรื่องสัญญาณและเรื่องนาฬิกาปลุกช้ากว่าเวลากันไปหมาด ๆ ล่าสุด ก็มีข่าวลือสะพัดวงการไอทีว่า iPhone เตรียมเปิดตัว iPhone 5 ออกมาให้ยลโฉมกัน และดูท่าว่าจะเป็นเวอร์ชั่นแก้ตัว ที่ทำออกมาชนิดที่เรียกว่าเต็มประสิทธิภาพเลยทีเดียว

          สำหรับจุดที่น่าสนใจของ iPhone 5 ว่ากันว่า ได้รับการพัฒนาให้พิเศษกว่า iPhone รุ่นอื่น คือจะเน้นในระบบซิมการ์ดที่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายใด ๆ ก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแอปเปิ้ลได้จับมือกับบริษัทซิมการ์ด Gemalto เพื่อออกซิมการ์ดชนิดพิเศษ ที่สามารถให้ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนผ่านอินเตอร์เน็ต ตั้งค่าเครือข่ายโทรศัพท์ได้ทุกเครือข่ายตามที่ผู้ใช้ต้องการ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ยังไม่มีบริษัทผลิตโทรศัพท์ที่ไหนเคยทำมาก่อน

          และนอกจากเรื่องของซิมการ์ดเลือกเครือข่ายใดตามใจผู้ใช้แล้ว แอปเปิ้ลก็ยังมีข่าวที่ทำให้แฟน ๆ iPhone ตกตะลึงกันอีกครั้ง เมื่อมีข่าวออกมาว่าแอปเปิ้ลจะเพิ่มเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายในระยะสั้น หรือ NFC  (Near Field Communication) เข้าไปด้วย ทำให้ผู้ใช้สามารถเก็บข้อมูลและโอนถ่ายข้อมูลของเครื่อง Mac ไว้ในเครื่อง iPhone 5 ได้ด้วย ประหนึ่งกับว่า iPhone 5 เป็นเครื่อง Mac ที่ผู้ใช้พกพาไปไหนมาไหนได้ตลอดเวลานั่นเอง

          งานนี้รับรองว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า iPhone 4 เป็นไหน ๆ ส่วนใครที่กำลังวางแผนจะซื้อ iPhone 4 เร็ว ๆ นี้ อดใจรอกันหน่อยก็ดี เพราะ iPhone 5 มีแพลนจะวางจำหน่ายภายในกลางปีหน้านี้แน่นอนจ้า


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม